ในเดือนพฤษภา เพลาดี ปี 2545 หนุ่มอาสา พัฒนาสาว เราสดใส ล้วนตั้งตา เฝ้ารอ ถ่อแดนไกล หนีแม่ยาย ไปค่ายฯ ตาก จากถิ่นเมือง….

เอาเป็นว่า…เล่าแบบธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาดีกว่าครับ เมื่อตะกี้…ตัวพี่ เคลิ้มไปหน่อย จึงอยากปล่อยทีละมุข สุขหนักหนา หวังแค่เพียงเห็นเจ้าหัวเราะฮา ใครว่าบ้า ก็ช่างเขา เราเป็นจริง…อ่ะจ๊าก! ติดลม ขอโทษครับขอโทษ อันนี้ของจริงละ จะเล่าละ หลายคนบอก จะรู้เรื่องมั้ยเนี่ยวันนี้ แหม..ก็ไม่ได้เจอกันซะตั้งนานครับ หายหน้าหายตากันไปไหนมาเหรอครับ?

..เอ๊ะ! มันควรจะเป็นผมนี่หว่าที่หายไปนาน แหะๆ อย่าถือสาครับกับคอลัมน์นี้ เก็บไว้เยอะเลยอยากจะปล่อยอะไรที่มันบันเทิงๆ บ้าง แต่ไม่รู้เครียดกว่าเดิมรึป่าว แต่ที่แน่ ๆ นะครับเรื่องราวเล่าขาน ซึ่งเป็นตำนานมาจากเรื่องจริงของเด็กผู้ชายอินโนเซ้นต์อย่างผม รับรองว่าเครียดครับ แต่เป็นผมนะครับที่เครียด เครียดจนน้ำตาเล็ดเลยแหละ….เรื่องมันเศร้าครับ เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ในตอนท้ายได้เลยครับ นับเวลาถอยหลังไปพร้อม ๆ กับผมนะครับ ผมจะพาทุกท่านไปทัวร์อดีต กับเครื่องย้อนเวลา ยี่ห้อธานินท์

เริ่ม…
…….5
…….4
…….3
…….2
…….1
…… (ลีลาเยอะเหมือนเดิม กว่าจะเล่า นี่แน่ะ..ด่าตัวเองซักดอก)

เช้าวันที่ 17 พฤษภา 2545 ณ อัครมหาสถานโต๊ะค่ายฯ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) พวกเราชาวอาสาได้รวบรวมไพร่พลได้จำนวนหนึ่งซึ่งก็มากนักแล หน้าเก่าบ้าง ใหม่บ้างคละเคล้ากันไป ส่วนผมหน้าเก่า แต่อยู่ในเล้าของเด็กใหม่ หน้ามันให้อ่ะนะ (ให้ไปจากโลกนี้) พวกเราทุกคนมารวมตัวกันโดยนัดหมาย (แล้วมันมีที่ไหนไม่นัดหมายกันก่อนว่ะ) เพราะเป้าหมายของพวกเราในค่ายฯ นี้คือ อ.แม่สอด จ.ตาก นั่นเอง….ขึ้นรถเลยพวกเรา…. โป๊งชึ่ง ชึ่ง ชึ่ง โป๊ง โป๊ง ชึ่ง

เช้าผ่านไป…เที่ยงผ่านไป…บ่ายผ่านไป…เย็นก็กำลังจะผ่านไป พวกเราทุกคนนั่งรถกันอย่างอิดโรย เหมือนโดนกักขัง หน่วงเหนี่ยว ให้เปลี่ยวใจ มันโป๊งชึ่งตรงไหนเนี่ย หลับกันหมดเลย เมื่อไหร่จะถึงเนี่ยโชเฟอร์!!!!!! ผมตะโกนดังก้องสุดแรงอยู่ในใจ (นึกว่าจะแน่) ได้แต่เจี๋ยมเจี้ยมเอ่ยปากออกไปด้วยวาทะเบา ๆ ว่า “พี่ครับถึงไหนแล้วครับพี่” …. “ยังอีกไกลน้อง แต่ก็ใกล้แล้วล่ะ” …เสียงตอบจากโชเฟอร์แว่วจากที่นั่งคนขับ ขยับผ่านกระปุกเกียร์ข้างซ้าย สไลด์อ้อมมาข้างหลัง กระทบกับใบหูเบา ๆ ก่อนจะเข้ากระแทกแก้วหู โอ้วว…แล้วจะให้ตูเข้าใจว่ามันใกล้หรือมันไกลกันเนี่ย…ฮ่วย! เอาเป็นว่าล่อซะดึกเลยครับพี่น้องกว่าจะถึงที่หมาย ฝนก็ตก ขนของกันจ้าละหวั่น วันแรกก็เจออาถรรพ์ซะแล้ว และที่นี่เองที่เรียกกันว่า “โรงเรียนม่อนหินเหล็กไฟ” (โรงเรียนม่อนหินเหล็กไฟ สาขาพบพระน้อย อ.แม่สอด จ. ตาก)

คืนแรกจัดข้าวของเสร็จเรียบร้อยมีประชุมรวมพูดถึงการเดินทางในวันนี้ และแจกแจงกฏระเบียบร่วมกันในค่ายให้ทุกคนรับทราบปฏิบัติด้วยกัน เพราะเช้าวันต่อไปเราจะเริ่มกระบวนการในทันที ว้าว…แค่นี้ก็ดุเด็ด เผ็ดมันกันแล้ว ในการทำงานวันแรกฝ่ายโครงงานจะต้องมีอยู่ 1 หน่วยซึ่งต้องรับผิดชอบด้วยคนเพียงคนเดียว นั่นก็คือ “สโตร์” มีหน้าที่เช็คอุปกรณ์โครงงานและจัดหาเครื่องไม้เครื่องมือไปสนับสนุนการทำงานของฝ่ายโครงงานไม่ให้ขาดตกบกพร่อง พูดง่ายๆ ถ้าเปรียบเป็นกองพลทหาร ก็คือหน่วยสนับสนุนยุทโธปกรณ์นั่นแหละ แต่วันแรกต้องมีสโตร์ตัวอย่างเพื่อที่เด็กหน้าใหม่ ๆ จะได้รู้วิธีปฏิบัติ และนั่นก็ต้องเป็นเด็กเก่า “อ่าว…แล้วใครจะเป็นดีหว่าในวันแรก” เสียงรำพึงจากคณะกรรมการก่อนจะใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจ สายตาทุกคู่จับจ้องมองมาที่ผมโดยไม่ได้นัดหมาย แน่นอนทีเดียวเป็นตูนี่เอง (คิดให้นานกว่านี้อีกหน่อยไม่ได้หรืองัยวะเนี่ย)

บรรยากาศการทำงานในค่าย โรงเรียนม่อนหินเหล็กไฟ สาขาพบพระน้อย อ.แม่สอด จ. ตาก

และแล้วรุ่งอรุณของวันแรกก็มาถึง แต่เป็นรุ่งอรุณที่ไม่เห็นดวงอาทิตย์เอาซะเลย เพราะฝนทำท่าว่าจะตก เป็นไปอย่างที่คิด บ่าย ๆ หน่อยพ่อคุณก็ตกลงมาจนได้ ฟ้าชอกช้ำอะไรนักหนาถึงมาบีบน้ำตาลดหัวฉันเนี่ย นึกดูสภาพการทำงานท่ามกลางหยาดฝนโปรยปรายกันเอาเองแล้วกันครับ ว่ามันสนุกแค่ไหน

แน่นอนครับทีมงานสมาชิกชาวค่ายล้วนต่างทำงานอย่างสนุกสนาน เพราะบางคนไม่เคยเจอความสมบุกสมบันอย่างนี้มาก่อน แต่หาใช่เช่นนั้นเลยไม่ มีอยู่ 1 คนน้ำตาแทบร่วงหล่นปนไปกับสายฝนที่กระทบบนใบหน้า สภาพตอนนั้นโคลนตมไม่ต้องห่วง เละครับพี่น้อง เครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เละไปตาม ๆ กัน เพราะสุดท้ายแล้วผมต้องเป็นคนตรวจเช็คทำความสะอาดเก็บไว้เหมือนเดิมเพื่อสโตร์วันต่อไป ทีมงานก็เบิกกันจ๊างงงง วันแรกไม่มีอะไรให้ตอกก็ยังจะมาเบิกฆ้อน จะเอาไปขุดดินรึงัยพ่อคุณ อุปกรณ์เกลื่อนกราด นรกแล้วสิตู เคราะห์ซ้ำกรรมหล่นทับ อาภัพเสียเหลือเกิน วันแรกทำงานกันถึง 2 ทุ่มซะงั้น ใหม่ ๆ มีแรงกันทั้งน๊าน

ผมยืนสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับบรรดายุทโธปกรณ์ที่กรำศึกมาอย่างดีเดือดเลือดพล่านทั้งวัน ซึ่งกองอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาหมองเศร้า นี่ถ้าไม่เกรงใจก็ว่าจะไปลดธงลงมาครึ่งเสาซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด…อาลัยตัวเอง เอาล่ะงานหนักของเรามาถึงแล้ว (ได้แต่ปลอบใจตัวเอง)

ผมหลับหูหลับตาทำความสะอาดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ สมาชิกบางคนก็มาช่วยบ้าง ช่างเป็นพ่อพระแม่พระมาโปรดเสียนี่กระไร ผ่อนแรงลงไปได้ซักเปราะแต่ช่วยไม่นานก็จากไปไร้แม้แต่เงาเพราะต้องไปอาบน้ำทานข้าวกัน เหลือเพียงผมกับท่านประธานค่ายฯ เท่านั้น บุรุษท่านนี้มีนามมาแต่อ้อนแต่ออกว่า “ตุ้ย”

ผมและพี่ตุ้ย ต่างตะบี้ตะบันทำความสะอาดต่อจนแล้วเสร็จ แหม๊…ช่างมีความสุขจริง ๆ ตอนนี้ เสร็จซะที รู้สึกตัวอีกที เหลืออยู่แค่ 2 คน นอกนั้นหายต๋อมไปรวมกันอยู่ในอาคารเพื่อประชุมพูดคุยกัน ผมจัดแจงอาบน้ำ

อ้อออ!…. ต้องท้าวความนิดนึง ที่ที่ผมใช้อาบน้ำนั้นโล่งโจ้งเลยครับ หลังคาเป็นฟ้า ฝาเป็นคนดู..จึ๋ยย มีแต่ถังน้ำ 2-3 ใบกับน้ำเต็มปริ่ม ต้องอาบท่ามกลางหยาดฝนที่ยังตกลงมาโปรยปรายไม่หนักมาก ซึ่งตอนนั้นก็จะ 3 ทุ่มแล้ว

ผมอาบเสร็จ เดินไปตากกางเกงลิงที่หลังอาคารซึ่งอยู่ใกล้กันกับที่อาบน้ำนั่นแหละ ทันทีที่พาดกางเกงลิงไว้กับราวเท่านั้นเอง เหตุการณ์ระทึกขวัญก็เกิดขึ้น….บรึ้มมม!!!….เสียงระเบิดดังสนั่น…อันนี้ไม่มีแน่นอนครับ ไม่ใช่กรุงเทพฯ (จะพูดทำไมเนี่ย อยู่ในช่วงปีใหม่ซะด้วย..ตอนเขียนบทความนี้)

กลับเข้าเรื่อง ผมสะดุ้งโหยงยกเท้าขึ้นด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกว่าโดนกัดจากตัวอะไรบางอย่าง หวังว่ามันคงไปแล้ว เหลือบตามองไปที่เท้าขวาต้นเหตุของความเจ็บปวด อ่ะจ๊ากกก!!!!!!….. มันยังอยู่ ตะขาบรุ่นนางพญา ตัวเบ้อเริ่ม ฝังเขี้ยวเกาะอยู่ที่เท้า ผมสะบัดเท้าสุดแรงเกิดพร้อมกับตะโกนดังลั่น ซึ่งไม่ใช่ในใจครั้งตะโกนใส่โชเฟอร์บนรถตอนขามา พลังเสียงที่รวบรวมเต็มที่จากกล่องเสียง ไหลผ่านลิ้นไก่ ทะลุช่องปากเปล่งออกมา… “ตะขาบก๊าดดดดดด!!!!!!!”

หนึ่ง น้ำโขง (ผู้เขียน) ขณะอยู่ในค่าย

เสียงนั้นเกิดผลในทันตา สมาชิกทุกคนที่รวมกันอยู่ในอาคารนั่งนิ่งสงบ ไม่เกิดการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น และมีกรรมการค่ายฯ 1 คนพูดขึ้นมาว่า (หลังจากที่ได้ยินจากคำบอกเล่าในวันถัดมา) “ไอ้หนึ่งมันเล่นมุข..อย่าไปรับมุขมัน” …ซวยเลยสิตูเล่นไว้เยอะ เห็นท่าไม่ดี ไม่มีใครขยับมาจากอาคารแม้แต่ซักคน ถัดมาข้าง ๆ มีพี่ตุ้ยสหายร่วมจมท้ายอยู่ใกล้ ๆ ห่างออกไปเพียง 3 เมตร ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน

โอ้ววว…เจ็บจริงนะเนี่ย เหนือคำบรรยายจนไม่สามารถพูดเป็นคำใดได้อีกแล้ว ได้แต่เพียงนั่งโอดครวญอยู่ที่พื้น ไม่นานเหมือนสวรรค์เห็นใจส่งให้พี่ตุ้ยวิ่งเข้ามาช่วย “โอยย…พี่ตุ้ยเห็นท่าทีผมกำลังจะแย่ใช่มั้ยถึงวิ่งเข้ามา” ผมถามออกไป “เปล่า…กูเห็นมันเลื้อยผ่านหน้ากูไป” พี่ตุ้ยตอบกลับมา พลันคิดขึ้นมาในใจจะโกรธเจ้าตะขาบตัวนั้นมั้ยที่มันกัดผม หรือจะต้องขอบใจมันที่มันเลื้อยผ่านหน้าพี่ตุ้ยไปจนทำให้เค้าเชื่อ ไม่งั้นเราคงต้องตายเป็นแน่แท้

ทันทีที่พี่ตุ้ยเห็นผมอาการไม่สู้ดี จึงตะโกนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาอันเป็นเอกลักษณ์… “เฮ้ย..ไอ้หนึ่งโดนตะขาบกัดจริง ๆ ว่ะ” เท่านั้นแหละครับ วิ่งกันอาคารแทบพัง แค่เสียงแผ่วเบานะเนี่ย ทรงพลังขนาดนี้ ตูตระโกนคอแทบพัง ทุกคนต่างชะเง้อหน้าออกมาทางหน้าต่างหลังห้องนอนซึ่งตรงกับที่เกิดเหตุพอดี

เอาล่ะ..สถานการณ์อยู่ในความควบคุมของผมแล้ว ทุกคนมองมาด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงหรืองวยงงด้วยความสมเพศไม่ทราบแน่ แต่จับความรู้สึกได้ว่าผมอาการไม่สู้ดีเลยทีเดียว ด้วยความกลัวตายเป็นผีเฝ้าโรงเรียน เหมือนวิชาความรู้ เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อครั้งอยู่ ป.4 แว่บเข้ามาในหัว ใช่แล้ว..เชือก! เชือกอยู่ไหน ต้องรัดเหนือแผล ขืนชักช้าพิษจะแล่นเข้าสู่หัวใจเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์

“พี่เอ..ตัดเชือกฟางที่ขึงมุ้งนอนให้หน่อยพี่” ผมตะโกนบอกพี่เอซึ่งเป็นรุ่นพี่เก่าแก่ในค่ายฯ อีกคนทันทีทันใด

พี่เอไม่รอช้า คว้าวิกเตอรีน๊อก อุปกรณ์ยังชีพที่ห้อยพะรุงพะรังรอบกายอยู่ตลอดเวลา ตัดชับเดียวอย่างว่องไว ได้มายาวประมาณไอ้ตัวที่กัดผมวางเรียงกัน 5 ตัว คำนวณตามจินตนาการกันให้สะดวกเลยครับ ลองคิดดูละกันระดับนางพญา 5 ตัวมันจะยาวขนาดไหน ผมคว้าเชือกได้ทันใด ไม่รีรอที่จะรัดเชือกเหนือข้อเท้าสวิงเกรียวขึ้นมาจนถึงหัวเข่าอย่างหนาแน่น ให้มันรู้กันไปสิ รัดหลายชั้นขนาดนี้มันจะผ่านได้ถึงชั้นไหนกัน อุ่นใจแล้วเรา และกลัวว่าแผลจะติดเชื้อผมจึงคว้าถุงก๊อปแก๊ปมาหุ้มเท้าเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง รอดตายไปเปราะ

แต่ยังไม่ชะล่าใจต้องรีบไปให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุด ด้วยความที่ยังปวดที่แผลอย่างสุดแสนจะทรมานหาที่ใดจะเปรียบปานได้ พี่ตุ้ยยอดพระเอก อาสาวิ่งฝ่าสายฝนไปเอามอเตอร์ไซค์ในหมู่บ้าน พาหนะที่จะทำให้ผมรอดตายในคืนนี้ ในที่สุดมอเตอร์ไซค์ก็มาถึง ผมนั่งซ้อนท้ายพี่ตุ้ยอย่างทุลักทุเล นี่คือการเริ่มต้นสู่การเดินทางที่มีชีวิตผมเป็นเดิมพัน มาดูซิว่าพระเอกของเราจะทำสำเร็จหรือไม่ (น้ำเสียงทีวีแชมเปี้ยน)

ท่ามกลางสายฝนที่โหมซัดกระหน่ำเข้าเต็มหน้า สองข้างทางเงียบสงัดไม่มีรถซักคันให้วิ่งผ่าน มีเพียงเสียงยอดอาชาสองล้อพาหนะแห่งความหวังและเสียงโอดครวญของผมเท่านั้นที่ทำให้ถนนเส้นนี้ไม่รู้สึกว่างเปล่า ขาผมเหยียดตรงแทบจะลากไปกับพื้น มันจะงอได้ยังงัยล่ะ รัดเชือกรอบขาซะขนาดนั้น ลองนึกถึงคนที่เข้าเฝือกที่ขาสิครับ ยังงัยยังงั้นเลย เพียงแต่นี่มันคือเชือกเท่านั้น ผมนั่งซ้อนท้ายหลับตาไม่สนใจอะไรรอบข้างด้วยความเจ็บปวด ต้องรีบไปให้ถึงอนามัยให้เร็วที่สุด “ซิ่งเลยพี่ตุ้ย” ผมรีเควสพี่ตุ้ยไป แต่ไม่เป็นผล ความเร็วยังคงที่เช่นเดิม “กูบิดสุดคันเร่งแล้ว” พี่ตุ้ยหันตอบกลับมาด้วยริมฝีปากที่สั่นเพราะความหนาว ถึงตอนนี้อาการเริ่มไม่ดีทั้งคู่ซะแล้วสิ

เบื้องหลังม่านฝนข้างหน้าเริ่มเห็นไฟของอีกหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านเป้าหมายของเราแล้ว ทำให้ผมและพี่ตุ้ยหายสั่นเพราะความหนาวได้เลยทีเดียว แต่ยังคงความเจ็บปวดที่ขาอยู่เนืองนิจ เหมือนเข็มกว่าล้านเล่มมาทิ่มตำอยู่ไม่ขาดสาย พี่ตุ้ยหันมาด้วยความเป็นห่วงคนข้างหลัง “เฮ้ย..เมื่อกี้ผ่านร้านคาราโอเกะริมทางมาว่ะ ขากลับเดี๋ยวเรามาแวะกัน” ตูจะตายอยู่แล้วยังจะมีอารมณ์ร้องเพลงอีกแน่ะ ไม่ไกลจากร้านคาราโอเกะความหวังขากลับนั่นเอง (แน่ะ..เอาด้วยซะงั้น)

เราก็มาถึงอนามัยเป็นผลสำเร็จ…เย้ ๆ ๆ ๆ ….แต่เอ๊ะ! …อนามัยปิดนี่หว่า ก็แหงสิครับ 3 ทุ่มกว่าอนามัยที่ไหนจะมาเปิด เออ..แล้วทำไมเราไม่คิดตั้งแต่ตอนแรกวะเนี่ย แบบนี้แย่แน่ ๆ มีอีกทางคือไปที่บ้านอาจารย์ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน เสียงเคาะประตูดังลั่น

“อาจารย์ครับมีนักศึกษาโดนตะขาบกัดครับ” เสียงพี่ตุ้ยตระโกนบอก อาจารย์ใหญ่รีบเปิดประตูรับทันที

“ไหน ๆ โอ้โห แผลบวมเปล่งเลย เดี๋ยวกินยาพาราซัก 2 เม็ดก่อน แล้วผมจะไปเอารถยนต์ พาไปโรงพยาบาลในตัวอำเภอแม่สอดกัน”

อำเภอแม่สอด!! ผมอุทานในใจพร้อมกับคำนวณระยะทางบวกลบคูณหารกับความเจ็บปวด มันไกลแค่ไหนเนี่ย

“เอ่อ..อาจารย์ครับ ไกลมั้ยครับ” ผมถามอาจารย์ด้วยริมฝีปากที่สั่น

“ไม่ไกลหรอกครับประมาณ 30 กิโลเอง” อาจารย์ตอบกลับมาด้วยความคุ้นเคยเส้นทาง

โอ้โห..บวกลบคูณหารความเจ็บปวดแล้วมันช่างไกลเหลือเกิน ผมกินยาพาราเข้าไป 2 เม็ดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แล้วบวกลบคูณหารใหม่ โอเค..ใกล้ขึ้นมาละ

“งั้นรีบไปกันเถอะครับอาจารย์” ผมคะยั้นคะยออาจารย์กลัวว่ายาจะหมดฤทธิ์เสียก่อน

30 กิโล อาจารย์ขับรถฝ่าสายฝนมาเพียงชั่วอึดใจไม่นานมากนักก็มาถึงโรงพยาบาลอำเภอแม่สอด รถเข็นเตรียมการอย่างว่องไวเพื่อรับผมลงจากรถ ผู้ที่มารอรับบริการของโรงพยาบาลต่างแตกตื่นกับสภาพขาที่เห็น ที่มีเชือกรัดระโยงระยาง คงสาหัสเลยทีเดียว พยาบาลรีบเข็นไปยังเตียงคนไข้ฉุกเฉินซึ่งจะมีเตียงเรียงกันอยู่ประมาณ 10 กว่าเตียง

“โดนอะไรมาคะ?” พยาบาลถามพร้อมกับดูแผลอย่างพินิจพิเคราะห์

“โดนตะขาบกัดมาครับหมอ” ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าเป็นพยาบาลหรือหมอ ขอเรียกหมอไว้ก่อน จรรโลงใจตัวเอง

“อาการเป็นงัยบ้างคะตอนนี้”

“ปวดมากเลยครับ ปวดจนทนไม่ไหวแล้ว” ผมตอบด้วยสีหน้ามีอาการ

“งั้นเดี๋ยวนั่งรอซักครู่นะคะ จะไปเอายาชามาฉีดไว้ก่อน” โอ้วว…รีบเลยครับหมอ ผมคิดในใจ

ขณะที่นั่งรอนั่นเอง ผมมองไปรอบ ๆ ไม่มีใครอยู่บนเตียงซักเตียงเลยในตอนนั้น ดูวังเวงชอบกลแฮะ เหลือบมองไปทางมุมซ้ายสุดมีป้ายลูกศรชี้ไปทางประตูด้านหนึ่งเขียนไว้ว่า “ห้องไอซียู” หันกลับมาทางด้านหน้าผมมีประตูทางเข้าอีกหนึ่งทางข้างบนประตูเขียนไว้ว่า “ห้องผ่าตัด” เอาล่ะสิตู จะได้เข้าห้องไหนเนี่ย

ทันใดนั้นเองพยาบาลคนเดิมก็เดินกลับมาพร้อมถาดอุปกรณ์ทำการรักษา ทำการเช็ดที่แผลแล้วฉีดยาชาหนึ่งเข็ม ว้าว..ความเจ็บปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง หลังจากนั้นคุณพยาบาลก็หยิบกรรไกรขึ้นมาตัดเชือกฟางที่ผมบรรจงรัดไว้อย่างแน่นหนา ผมเริ่มเห็นท่าไม่ดี พิษต้องแล่นเข้าสู่หัวใจเป็นแน่ ส่วนคุณพยาบาลตัดไปอมยิ้มไป พร้อมกับเอ่ยปากถามผมอย่างนุ่มนวลว่า “ต้องรัดถึงขนาดนี้เลยเหรอ” พร้อมกับยิ้มขำ ๆ ทิ้งท้าย

“อ้าว..ทำไมเหรอครับหมอ” ยังไม่วายที่จะเรียกหมอเหมือนเดิม

“คือว่าตะขาบนี่นะคะ เวลามันกัดแล้วน่ะ พิษมันจะอยู่กับที่ไม่แล่นไปไหน มันก็จะบวมอยู่ตรงที่มันกัดนี่แหละ”
ได้ความรู้ใหม่เลยเรา


“นั่นสิครับ ผมถึงว่าทำไมเพื่อนรัดขนาดนั้น แหะ ๆ”
ปัดให้คนอื่นซะงั้น กลัวเสียฟอร์ม พลันคิดในใจ อายจังตู


“เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวไปรับยาที่เค้าท์เตอร์จ่ายยานะคะ”

ตอนนี้คิดไว้ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ได้ยาแรง ๆ จากโรงพยาบาลจะได้หายเร็ว ๆ ไม่ต้องมาทนปวดทรมานถือว่าคุ้มค่าที่ฝ่าฟันมา

“ยาได้แล้วค่ะ ทานเมื่อมีอาการปวดนะคะ”

ผมรับยาจากเค้าท์เตอร์จ่ายยา พร้อมกับตรวจเช็คยาที่ได้มา พระเจ้า!!..ผมตะลึงกับถุงยา หันกลับไปถามพยาบาลเพื่อความแน่ใจ

“นี่ให้ยาผิดรึเปล่าครับ” ผมถามด้วยความสงสัย

“อ๋อ ไม่ผิดหรอกค่ะ” พยาบาลตอบอย่างมั่นใจ

“เหรอครับ ขอบคุณครับ”

ผมยังอึ้งกับยาที่ได้มาเล็กน้อย ก็เพราะมันคือยาซาร่า พาราเซตามอล 1 แผงเต็ม ๆ ซึ่งมีอยู่ในกล่องพยาบาลในค่ายฯ เป็นสิบ ๆ แผง ถ่อมาซะลำบากเพื่อซื้อยาพารา 1 แผง โอ้ววว….เจ้าตะขาบตัวดี กัดไม่พอยังทิ้งความอับอายไว้ให้ด้วย อ๊ายอาย..กลับเข้าค่ายฯ แกล้งนอนซมไป 2 วันซะเลย

นี่แหละครับเรื่องตะขาบของผม กระดาษทิชชู่ที่ท่านผู้อ่านเตรียมไว้ตอนต้นเรื่องก็เอามาให้ผมนี่แหละครับ จะเอามาปิดหน้าตัวเอง…อาย

หนึ่ง น้ำโขง