
มอตอง แกเจาะ ระบำเชื่อมสัมพันธ์
ระบำกรีดยาง หรือภาษาท้องถิ่นที่เรียกว่า มอตอง แกเจาะ เป็นระบำพื้นบ้านที่ปรากฏอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นท่ารำที่ผสมผสานมาจากการประกอบอาชีพกรีดยางของผู้คน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว และจากการผสมผสานรูปแบบทางวัฒนธรรมของผู้คนในบริเวณนี้เองที่ทำให้ จุฑามาส เทวา คุณครู โรงเรียนบ้านบ่อหิน จ.ยะลา นำรูปแบบทางวัฒนธรรมมาสร้างเป็นชุดการแสดงหนึ่งในโรงเรียนเช่นกัน เพื่อลดความแตกต่างและปัญหาทางความสัมพันธ์ระหว่างเด็กนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธ และนักเรียนที่นับถือศาสนาอิสลาม
โดยรูปแบบการแสดงดังกล่าวถูกสอนให้กับเด็ก ๆ ในชุมนุมนาฏศิลป์ของโรงเรียนบ้านบ่อหิน เพื่อเป็นรูปแบบหนึ่งของการสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่นและยังเป็นเครื่องมือหนึ่งในการเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนที่ประกอบไปด้วยไทยพุทธและมุสลิม ดังจะเห็นได้จาก ครูผึ้ง สุจิตรา เจริญขวัญ คุณครูอีกท่านหนึ่งที่เข้ามาดูแลเด็ก ๆ ในชุมนุมได้เล่าถึงที่มาของการจัดการเรียนการสอนในชุดการแสดงดังกล่าวว่า
“ชุมชนเรามีทั้งพุทธ ทั้งมุสลิม เค้าคุยกันคนละภาษา เราก็มานั่งคิดว่าจะทำยังไงดี เลยอยากหากิจกรรมให้มาทำร่วมกัน เด็กที่มาทำก็เป็นเด็กพุทธ แต่ก็พยายามหาเด็กมุสลิมด้วย เห็นว่าคนแถวนั้นมีอาชีพกรีดยาง เลยปรึกษากับพี่อีกคน เอาอาชีพของคนในท้องถิ่นมาใส่ท่า เลยสร้างชุดนี้ขึ้นมา คุณครูอีกคนเอาท่ามาผสมและสร้างเป็นชุดแสดง”
จากจุดเริ่มต้นของความคิดดังกล่าว จึงเกิดกลุ่มชุมนุมของเยาวชนที่ใช้ระบำกรีดยางเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนที่ต่างศาสนาและต่างวัฒนธรรมขึ้น
“เราก็พยายามจะทำให้ความขัดแย้ง การไม่พูดไม่จากันของผู้ใหญ่หายไปจากการที่เอาเด็กต่างวัฒนธรรมมารวมกัน สร้างจากผู้ใหญ่ได้ยากก็อยากจะเริ่มสร้างจากเด็ก ซึ่งก็มีเด็กมุสลิมที่เขามาเข้าร่วม ถึงแม้ไม่มากแต่ก็ยังดีกว่าไม่มี
มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ขนาดเด็กพุทธกับเด็กมุสลิมอยู่ห้องเดียวกัน เค้ายังแยกจากกันอย่างชัดเจน ปัญหามันเกิดฝังแน่นมานาน เลยลองเราศิลปวัฒนธรรมมาเชื่อมเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น” ครูผึ้ง เล่า
จากชุมนุมสู่ชุมชน
จากชุมนุมเล็ก ๆ ในโรงเรียนที่สอนนักเรียนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาตามหลักสูตรของระบบการศึกษา เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณครูในชุมนุมได้ข่าวสารถึงตัวโครงการสานศิลป์ฯ โครงการที่ให้งบประมาณเพื่อการจัดกิจกรรมของเยาวชนโดยใช้งานศิลปวัฒนธรรมที่ไม่จำกัดรูปแบบมามีส่วนร่วมต่อท้องถิ่น รูปแบบของโครงการดังกล่าวได้ทำให้ชุมนุมนาฏศิลป์ โดยการนำของคุณครูทั้งสองตัดสินใจเข้าร่วมของบประมาณเพื่อทำโครงการ ในนาม กลุ่มเยาวชนบ้านบ่อหินรักถิ่นเกิด โรงเรียนบ้านบ่อหิน อ.ธารโต จ.ยะลา ด้วยหวังว่าจะเป็นโอกาสที่ดีให้กับนักเรียนในการเปิดหูเปิดหาและเปิดพื้นที่ในการแสดงออกให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม
“ตอนแรกมีเพื่อนมาบอก เขามาชักชวนว่ามีโครงการนี้อยู่ เราเลยลองเข้าไปหาข้อมูลในเว็บ แล้วเอามาปรึกษาครูอีกท่าน ท่านก็สนใจ ถามเด็ก ๆ เด็ก ๆ ก็อยากทำก็เลยตัดสินใจขอโครงการไป เพราะถ้าไม่ขอเราก็ทำอยู่แต่ในโรงเรียน” ครูผึ้ง กล่าว
จุดเริ่มต้นดังกล่าวทำให้ชุมนุมนาฏศิลป์ของโรงเรียน โดยการนำของคุณครูทั้งสองเข้าร่วมกับกระบวนการทำงานภายใต้โครงการสานศิลป์ โดยกระบวนการแรกที่กลุ่มได้เข้ามามีส่วนร่วมก็คือ การเข้าค่ายอบรมครั้งที่ 1 ที่ทางโครงการฯ ได้จัดขึ้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ และแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน ซึ่งในการเข้าค่ายอบรมครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเด็ก ๆ ในชุมนุมที่มีโอกาสออกจากบ้านมาเจอกับกลุ่มคนที่หลากหลาย ทั้งวัยใกล้เคียงและห่างวัย แต่ผู้คนทั้งหมดต่างเข้ามาทำงานศิลปะเช่นเดียวกัน
“ที่มาอบรมครั้งแรกมันก็ได้อะไรกับเด็กเค้าเยอะเหมือนกันค่ะ ได้ทั้งเจอคนอื่น ๆ เปิดโลก ได้เห็นวัฒนธรรมของคนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่แค่ที่บ้าน กล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าแสดงความคิดเห็น พวกนี้เด็ก ๆ ที่มาทั้ง 5 คนได้เยอะมาก” ครูผึ้ง กล่าวต่อ
“เป็นครั้งแรกที่มาค่ะ ตื่นเต้น ตอนแรกก็ไม่กล้าพูด แต่มีพี่ ๆ เขามาช่วนคุย ชวนให้เล่น ก็เลยกล้าขึ้น ได้รู้จักเพื่อน ๆ พี่ ๆ เยอะ เห็นอะไรแปลก ๆ ที่เราไม่เคยเห็นที่บ้านเยอะเลย” น้องขิม สมาชิกชุมนุมนาฏศิลป์ เล่าความรู้สึก
หลังการเข้าค่ายอบรม ชุมนุมนาฏศิลป์ก็เริ่มลงมือดำเนินการตามแผนที่วางไว้ โดยแบ่งกระบวนการทำงานออกเป็น 3 ช่วงการทำงาน คือ
- เก็บข้อมูลชุมชน นำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากชุมชน
- นำข้อมูลที่ได้มาดัดแปลงเป็นรูปแบบการแสดง ทำการจัดแสดง
- ช่วงสรุปบทเรียนการทำงานของกลุ่ม
การทำงานในช่วงที่ 1 กลุ่มได้นำนักเรียนไปลงเก็บข้อมูลในชุมชนบ้านบ่อหิน พูดคุยกับปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้เกี่ยวกับชุมชน โดยเน้นข้อมูลที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของผู้คนในพื้นที่ ซึ่งข้อมูลที่ได้มาก็นำมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาดัดแปลงและใช้ประโยชน์ต่อไปในการสร้างชุดการแสดง
การทำงานในช่วงที่ 2 เป็นการทำงานที่ต่อเนื่องจากช่วงแรก โดยคุณครูที่ดูแลชุมนุมทั้ง 2 ได้นำความรู้เรื่องศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ได้รับมา นำมาดัดแปลงคิดท่าทางการระบำ และการใช้ภาษาให้เข้ากับวัฒนธรรม ทั้งนี้เนื่องจากชุดการแสดงดังกล่าวไม่ใช่เพียงแค่การแสดงระบำกรีดยางเพียงเท่านั้น แต่ยังประกอบไปด้วยการร้องอนาซีด การรำระบำพัด และการแสดงระบำกรีดยาง ดังนั้นการสร้างรูปแบบการแสดงจึงต้องอิงอยู่กับความเป็นจริงในวิถีชีวิตประจำวันท้องถิ่นของชาวบ้าน
“ในการแสดงของเรามันไม่ได้มีแต่ระบำกรีดยาง มีร้องอนาซีด ร้องภาษายาวี แล้วก็ระบำพัดด้วยค่ะ มันใช้การแสดงท้องถิ่นหลาย ๆ อย่างมาประดิษฐ์เป็นท่าทาง การแสดง ไอ้ตรงนี้เราก็เอามาจากข้อมูลที่ได้จากชุมชนด้วย เอาตรงนั้นตรงนี้มาดัดแปลงจนเป็นการแสดงของเรา” ครูผึ้ง กล่าว
เมื่อสร้างรูปแบบการแสดง และทำการซักซ้อมเสร็จสิ้น กลุ่มชุมนุมก็จัดการแสดงทั้งหมด 3 ครั้ง ใน 2 ครั้งแรกเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในโรงเรียน เพื่อให้คุณครูและนักเรียนในโรงเรียนบ้านบ่อหินได้รับชม ส่วนครั้งที่ 3 นั้นได้รับเชิญจากหน่วยงานราชการให้ไปทำการแสดงที่ศาลากลาง ในงานประจำปีของจังหวัด ซึ่งจากการแสดงทั้งสามครั้งทำให้เด็ก ๆ เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องการกล้าแสดงความคิดเห็น กล้าแสดงออก และเปิดมุมมองใหม่กับวัฒนธรรมในชุมชนที่มีความหลากหลายมากกว่าที่เคยรับรู้มา
“มีเพื่อนเยอะขึ้น มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่ก่อนมีคนมารำนิดเดียว ตอนนี้ก็มีมากขึ้น กล้ารำมากขึ้น อย่าคุยกับคนอื่นมากขึ้น” น้องโซเฟีย สมาชิกชุมนุมนาฏศิลป์
“ตอนไปแสดงตื่นเต้นมากค่ะ ตอนโรงเรียนไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไปเล่นในเมืองตื่นเต้นมาก พอจะขึ้นเวทีมีน้องเค้าไม่ยอมขึ้น ร้องไห้ เราก็ช่วยกันปลอบ แต่หนูก็ต้องขึ้นแล้วเลยต้องขึ้นไป ไปอยู่บนเวทีมันก็กล้าขึ้น” น้องขิม เล่า
นอกจากเด็ก ๆ เยาวชนจะได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานแล้ว คุณครูที่ดูแลก็ได้เรียนรู้ถึงประสบการณ์ในการทำงานที่มากกว่าแค่ในโรงเรียนเช่นเดียวกัน โดยถือเป็นการทำงานรูปแบบใหม่ที่สร้างเครือข่ายการทำงานที่ลงไปถึงชุมชนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
“ไปแสดงมา 3 ครั้งค่ะ สองครั้งแรกเล่นที่โรงเรียน มันก็มีทั้งนักเรียน ครู ๆ ผู้ปกครอง พวกทหารเขาก็มาดูนะ ก็มีคนชื่นชมว่าเราตั้งใจจัดกิจกรรมดี ๆ ออกมา เราก็ได้เรียนรู้กันเยอะกว่าจะมาตรงนี้ กว่าจะเสร็จสิ้นบางครั้งเด็กที่ไปเล่นก็ร้องไห้ไม่ยอมขึ้นบนเวที เราก็ต้องปลอบ ก็ต้องเล่นไปแค่ที่มีคน บางทีเวลาซ้อมก็เลิกดึกไม่ได้ วัฒนธรรมที่ห้ามรำ ห้ามร้องเพลงก็เป็นปัญหา เราก็ต้องทำใจว่าเขาอาจจะไม่เข้าใจ เราก็ต้องทำใจว่าเป็นวัฒนธรรม มุมมองความคิดที่ต่างกัน แต่ก็มีผู้ปกครองบางคนที่เขาเข้าใจดีและยอมให้เด็ก ๆ มาเข้าร่วม มันก็มี เราก็ได้เรียนรู้ไปด้วย ไม่ใช่แค่รู้เรื่องการจัดแสดง แต่รู้เรื่องการทำงานกับชุมชนมากขึ้น” ครูผึ้ง กล่าว
การทำงานในช่วงที่ 3 ถือเป็นการทำงานช่วงที่สำคัญอีกช่วงหนึ่ง เนื่องจากการทำงานในช่วงดังกล่าวเป็นการสรุปบทเรียนกระบวนการทำงานตลอดทั้ง 3 เดือนของกลุ่ม ซึ่งการสรุปบทเรียนของกลุ่มจัดทำขึ้นโดยให้กลุ่มนักเรียนได้ตั้งวงสนทนาโดยมีคุณครูเป็นคนชักชวนให้คิดถึผลที่ได้รับ หรือข้อปัญหาของการทำงาน โดยผลการสรุปบทเรียนสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้มากที่สุดคือการได้เรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นของ ได้รู้ความเป็นมาของชุมชน และได้พัฒนาบุคลิกภาพของตนเองให้กล้าคิดกล้าแสดงออก และสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ในชุมนุมทั้งคนพุทธและคนมุสลิมมากขึ้น
“ที่เห็นได้ชัดจากตอนสรุปบทเรียนเด็ก ๆ เค้าจะบอกว่าปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องผู้ปกครองจะว่า เขาอยากให้มีคนเข้าใจมากขึ้น แต่สิ่งที่เขาบอกว่าเขาได้คือเพื่อน ๆ ที่มากขึ้น แต่ก่อนในห้องนั่งห่างกัน ไม่คุยกัน เดี๋ยวนี้ก็คุยกันมากขึ้น ถึงมันจะไม่เยอะ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังมาเป็น 100 ปี แต่มันก็ดีขึ้น ถึงไม่มาก แต่ก็ยังดีกว่าเราละเลยปัญหามันไป” ครูผึ้ง ทิ้งท้าย
กระบวนการทำงานภายใต้โครงการ มอตอง แดเจาะ ระบำกรีดยาง วิถีวัฒนธรรม วิถีท้องถิ่น จึงเป็นโครงการหนึ่งที่พยายามจะสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้นกับผู้คนต่างวัฒนธรรม ต่างศาสนา ให้ดำรงอยู่ได้โดยพยายามจะลดความแตกต่างทางศาสนา ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่าศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นนั่นเอง
รายงานการถอดบทเรียนและประเมินผลโครงการสานศิลป์รักถิ่นเกิด
โดย ผศ.ปรารถนา จันทรุพันธุ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะ, กรกฎาคม 2554
*โครงการสานศิลป์รักถิ่นเกิด ดำเนินการเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 – สิงหาคม 2554 มูลนิธิกองไทย เป็นเจ้าของโครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีเป้าหมายให้เยาวชน “รู้ และ รัก” ท้องถิ่นบ้านเกิด ด้วยการสืบค้นหาข้อดีของชุมชนท้องถิ่น จนทำให้เกิดความภาคภูมิใจและนำเสนอผ่านงานศิลปะวัฒนธรรม โดยสนับสนุนทุนให้กับ 58 กลุ่มเยาวชนจากทั่วประเทศ – คลิกดูรายละเอียดโครงการ