
การศึกษาเป็นเรื่องที่สำคัญในอันดับแรกๆ ของการพัฒนาประเทศ ดังนั้นสมควรที่ทุกภาคส่วนของสังคมควรจะมีส่วนในการฐานรากสร้างของระบบการศึกษาของเยาวชน ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะอยู่ที่แห่งหนใดก็ตาม แต่อุปสรรคของการศึกษายังมีอีกมาก และที่ผ่านมาแบบแผนการพัฒนานั้นยังไม่เพียงพอทั่วถึงในทุกพื้นที่ บางส่วนยังกระจุกตัวในเขตเมืองใหญ่นำมาซึ่งปัญหาของการเข้าถึง หรือได้รับการศึกษาที่ไม่เท่าเทียมกัน ภาพสะท้อนที่เห็นได้ชัดเจนคือ ในเมื่อปัญหาเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง มันก็ยากที่จะพัฒนาศักยภาพของพลเมืองได้ เพราะเราต้องไม่ลืมว่าเยาวชนเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ
“ปันฝันใกล้ฟ้า… จากต้นราบสู่ปลายดอย” โครงการค่ายอาสาฯ โดย กลุ่มรองเท้าแตะ ร่วมกับ นักศึกษา นักกิจกรรม จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม หนึ่งสายทางการแบ่งปัน สู่ภารกิจสร้างห้องเรียนให้น้อง กับพลังคนรุ่นใหม่เพื่อสังคม เป็นหนึ่งในหนทางที่อยากมีส่วนสร้างโอกาศทางการศึกษาให้แก่เด็กชาวเขาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งการเข้ามาออกค่ายอาสาของนิสิตในครั้งนี้ เป้าหมายหลักคือการสร้างอาคารเรียนให้กับ ห้องเรียนพิเศษแม่ออกลาน ต.แม่คะตวน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน กำหนดการของการสร้างห้องเรียนเริ่มตั้งแต่ 26 พฤษภาคม-10 มิถุนายน 2551
ห้องเรียนพิเศษแม่ออกลาน สร้างขึ้นเมื่อปี 2542 เพื่อให้เด็กหมู่บ้านแม่ออกลานซึ่งส่วนใหญ่เป็นกระเหรี่ยงโปว์ได้เรียนหนังสือ และเป็นสาขาของโรงเรียนบ้านอุมดาเหนือ ซึ่งห่างจากบ้านแม่ออกลาน 12 กิโลเมตรและต้องเดินด้วยเท้าเท่านั้น ดังนั้นการเข้าไปสร้างห้องเรียนขึ้นมาเพิ่มเพื่อรองรับเด็ก ๆ ที่มีมากขึ้นก็เท่ากับให้โอกาศทางการศึกษาให้เด็ก ๆ มีการศึกษามากขึ้นก็เป็นผลดีต่อสังคมอย่างมาก
ครูเศก หรือ คุณครูชัยสิงห์ วงค์ชัย กล่าวถึงการเข้ามาสร้างห้องเรียนพิเศษของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคามว่า “คือห้องเรียนที่แม่ออกลานมันก็พอจะใช้เรียนได้ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไรนะ ซึ่งอย่างนี้เราคาดการณ์ไม่ได้ว่ามันจะเพียงพอให้เด็กหรือเปล่า การเข้ามาของนักศึกษาเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ เลย เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อเด็ก ๆ ที่นี้มากเลย เป็นเป็นเหมือนการให้โอกาศแก่เด็กที่เขาต้องการการเรียนรู้ ก็อยากให้มาอีกเพราะยังขาดอะไรอีกมากมายสำหรับการเรียนของเด็ก นักศึกษาหลายคนก็ตั้งใจที่จะมาทำ ผมยอมรับในการเข้าที่นี้มากเพราะกว่าจะมาถึงที่นี้ต้องเดินเป็นสิบกว่ากิโล และผมดีใจมากที่มาช่วยกันทำเพื่อเด็ก ๆ”
ในอีกด้านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มที่จะเปิดเรียนในปีการศึกษาใหม่ แต่อีกด้านหนึ่งเด็กบนดอยสูงกำลังมองหาอนาคตที่จะได้เรียนหนังสือ และโอกาศที่พอจะมีให้บ้างจากสังคมภายนอก เรื่องการศึกษาของเด็กเยาวชนไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ดังนั้นปัญหาดังกล่าวจึงกลายเป็นแผลเรื้อรังของสังคมไทยไปโดยปริยาย
น้องดุ่ย หรือ นายวัชระ งอยแพง หนึ่งในอาสาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคามกล่าวว่า “บางทีเราต้องการการปฏิบัติลงไม้ลงมือช่วยกันแก้ปัญหามากกว่าที่จะถกเถียงกันในมุมของนักวิชาการ ผมมองว่าเราต้องการการมองเห็นที่เป็นรูปธรรมมากและเร่งด่วนด้วย จริง ๆ นักศึกษาอย่างผมหรือเพื่อน ๆ พี่ ๆ หรือกระทั้งคนรุ่นใหม่ทุกคนมีพลังมหาศาลมากในการที่จะมารับรู้เรื่องที่เป็นจริงของโลกภายนอก ถ้าคิดที่จะทำนะแต่เราเอาพลังที่เรามีไปทำสิ่งที่ไม่มีค่าแก่สังคมเลย ผมว่านอกจากจะเป็นการเรียนรู้สังคมภายนอกมหาวิทยาลัยแล้วมันการหยิบยื่นแบ่งปันเอื้ออาทรซึ่งกันและกันของคนในสังคมเดียวกันซึ่งเป็นสิ่งที่สังคมต้องการอย่างมาก ซึงการมาสร้างห้องเรียนให้น้องที่เขาขาดแคลนห้องเรียนมันเป็นมากกว่าการสร้างเรียนไม้ธรรมดานะแต่มันคือโอกาศที่เราแบ่งปันกันซึ่งสำคัญมาก”
ในทัศนะของคนรุ่นใหม่ การมองเห็นภาพสังคมที่ต้องการการเยียวยาอย่างเร่งด่วนนั้นเป็นเรื่องที่ไกลตัว ทำให้มองข้ามหนทางการแสดงศักยภาพของตัวเองออกมา ในทางที่นำพาการทำเพื่อสังคมเพื่อเพื่อนร่วมสังคมที่ขาดแคลน การมาสร้างห้องเรียนเพื่อน้องครั้งนี้เป็นการเปิดโลกทัศน์ส่วนที่รับรู้ และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวเองสัมผัสด้วยการลงมือทำ และนำมาซึ่งการสะท้อนบางแง่มุมให้สังคมภายนอกได้รับรู้เช่นเดียวกัน
น้องหนึ่ง หรือ นางสาวจีระภา มูลคำมี อาสาจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สะท้อนว่า “เรามาสร้างห้องเรียนให้เด็กเพราะ เราอยากเห็นพลังของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะทำเพื่อคนอื่น บางทีมันอาจท้อนะเหนื่อยด้วยแต่มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจมากเลยค่ะที่ได้ทำเพื่อคนอื่นบ้าง ถึงมันอาจจะไม่มากนะแตเราได้เรียนรู้หลายอย่างมากเลยทั้งวัฒนธรรมของชุมชนรอบโรงเรียน วัฒนธรรมต่าง ๆ แล้วก็สนุกมากเลย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะมาอีกค่ะ”
ภาพการแบ่งปันเอื้ออาทรการเรียนรู้และความเข้าอกเข้าใจเป็นเรื่องที่สังคมนี้ยังต้องการอีกมาก การสร้างห้องเรียนห้องเล็ก ๆ ของเหล่าอาสาคนรุ่นใหม่เป็นภาพสะท้อนบางอย่างที่ดีสำหรับสังคมไทยในการที่จะร่วมแบ่งปันให้กับคนที่ขาดแคลน เรียนรู้เพื่อจะเข้าใจเรียนรู้ที่จะแบ่งปันซึ่งสังคมที่สันติสุขและปรองดองคงจะอยู่ไม่ไกลเกินไปที่เราทุกคนจะไปถึง
ปิยะวัฒน์ นามโฮง