ในคืนไร้ดาว หากเหลือแต่เพียงแสงจากไฟเสาสปอร์ตไลท์เกาะกลางถนน สายลมโชยเอื่อย ๆ มาปะทะร่างกายอันอ่อนหล้าจากภาระแห่งชีวิต เป็นปกติธรรมดาที่คนอย่างผมยังไม่กลับบ้าน แต่กลับหักพวงมาลัยตรงไปยังถนนเส้นหนึ่ง ถนนเส้นที่ผ่านหน้าสถาบันการศึกษาชื่อดัง (ย่านรามคำแหง) สถาบันที่ผมใช้ชีวิตนิสิต นักศึกษาที่นั้นอยู่หลายปีทีเดียว
ริมฟุตบาต… เสียงผู้คนกำลังสนทนาพูดคุย สลับสับเปลี่ยนกับเสียงรถยนต์ เสียงรถเครื่อง (มอเตอร์ไซต์) ที่แล่นผ่านไปเป็นระยะๆ และไม่นาน “ช้าง” ก็เดินมาอยู่ข้าง ๆ
“เลี้ยงช้างไหมครับ ๆ”
หลังจากที่หน่ายกับเสียงเพลงอึกทึก และบรรยากาศของร้านเหล้าเต็มรูปแบบ ผมก็ย้ายอยู่ตรงนี้สักพักใหญ่แล้ว “หำ ลาบก้อย” ร้านลาบที่ไม่ใช่ร้านที่อร่อยที่สุด ไม่ใช่ที่ที่มีบรรยากาศที่ดีที่สุด หากแต่เป็นที่ที่เดียวในย่านนี้ ที่ผมยังหาสิ่งที่เรียกว่า “มิตรภาพ” ได้อยู่บ้าง
“เหลือกัน 2 คนแบบนี้ เรายังจะทำค่ายฯ กันอีกไหมเพ่?” หนึ่ง น้ำโขง สหายรุ่นน้อง เจ้าของลีลากวนประสาแบบน่าเอ็นดูเอ่ยถามขึ้นมา
เรา 2 คนอยู่ตรงนี้ กันมาหลายเดือนแล้วครับ ส่วนมากจะแค่ 2 คน (เท่านั้น) หลากมิตรสหายหายหน้า บ้างติดภารกิจ บ้างไปอยู่ต่างจังหวัด บ้างไปต่างประเทศ บ้างก็ไปจาก “เรา” แล้ว
ผมคว้าแก้วสุรากระดกเข้าปาก อึกใหญ่… จังหวะเดียวกับ ไอ้หนึ่ง ตัก ซกเล็ก เมนูเด็ดรสแซบคำโต พร้อมหยิบกระเทียมสดเม็ดเขื่องในถ้วยเข้าปากตาม
“กูไม่รู้ว่ะ มึงว่าไงละ”
“ก็ยังอยากทำอยู่นะพี่ แต่ไม่มีคน”
ผมเคยบอกแล้วไงครับ ว่า “มันไม่ได้ทำลายแค่ชมรม แค่มันทำลายแรงบันดาลใจของคนหนุ่มสาวไปด้วย”
ในชีวิตของผม หน้าที่การงานยังเกี่ยวข้องโยงใยอยู่กับกิจกรรมทางสังคมทั้งสิ้น การได้มีโอกาสเดินทางอยู่อย่างต่อเนื่อง การได้มีโอกาสพบเจอ “นักกิจกรรม” ดี ๆ เก่ง ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ การได้มีโอกาสพูดคุยกัน หรือแม้กระทั่งการได้พูดคุยกับชาวบ้าน มันส่งผลให้ผมไม่ได้ทิ้ง “ค่าย” และ “สหายร่วมค่าย” ไปไกล
หลายครั้ง หลายหน งานที่ผมต้องเดินทางไปจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ ผมก็ชวนน้อง ๆ ไปช่วยงาน ด้วยเจตนาอยากแบ่งปันประสบการณ์ใหม่ ๆ และความรู้สึกดีๆ งามๆ ที่ผมรู้สึกทุกครั้งที่ได้เดินทาง แต่พูดกันจริงๆ แล้ว ก็มีสหายรุ่นน้องๆ อยู่แค่ 1-2 คนเท่านั้นแหละครับ ที่มารวมรับรู้ตรงนั้น และ หนึ่ง น้ำโขง ก็มักจะเป็นหนึ่งในนั้นเสมอ ๆ ช่วงหลัง ๆ มานี่ เราเลยได้คุยกันบ่อย โดยเฉพาะคุยเรื่องค่าย
จำได้ว่า….ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม และกลางเดือนตุลาคม เรา 2 คนก็ได้แต่นั่งนึกว่า ถ้าวันนี้ถ้าเราอยู่ในค่าย จะเกิดอะไรขึ้นในค่ายบ้าง วันนี้ส่งค่าย วันนี้เปิดค่าย วันนี้มุงหลังคา วันนี้รุ่นพี่ตามมา วันนี้ซูลู วันนี้ที่สุดฯ วันนี้ออกจากค่าย วันนี้เลี้ยงค่าย ฯลฯ คุยไปหัวเราะไป แต่เชื่อผมเถอะครับว่า…มันรู้สึกเศร้ามากกว่าจะสุขใจ…
สรุปลงที่ว่า…เราเห็นตรงกันว่าเรายังมีความอยากที่จะทำกิจกรรมเพื่อสังคมกันต่อ โดยไม่จำเป็นจะต้องเป็นค่ายอาสาฯ เสมอไป และไม่ต้องเรียกร้องการกลับมาของเพื่อนมิตรผู้มากด้วยภาวะจำเป็น ที่อาจจะหลงลืมห้วงเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกันในค่ายไปซะแล้ว
2 คน ทำอะไรได้ เราก็จะทำ… และแน่นอน เราต้องหาเพื่อนสหายใหม่ ๆ
ผมเสนอเรื่องการเปลี่ยนชื่อองค์กร (ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท) เพื่อสนองเป้าหมายหลาย ๆ อย่าง โดยให้ หนึ่งเป็นคนคิดชื่อกลุ่ม โดยผมวาง Concept ความหมายของชื่อว่าต้อง “เรียบง่าย ติดดินและเพื่อสังคม”
ไม่นานคำว่า “กลุ่มรองเท้าแตะ” จะหลุดออกจากสมองของไอ้หนึ่ง โดยเจ้าตัวเล่าให้ฟังทีหลังว่า ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพถ่ายกิจกรรมดูงานครั้งหนึ่งของชมรมที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นภาพพวกเรากำลังใส่รองเท้าแตะเดินย่ำไปบนผืนดิน
จากนั้นเราก็เปลี่ยนชื่อเว็บไซต์เป็น “ก้าวเดิน – 9dern.com” (ปัจจุบันเป็น annop.me)
ก้าวเดิน ก้าวแรก… เริ่มขึ้นอีกครั้ง… อย่างเงียบเหงาและเดียวดาย….
อรรณพ นิพิทเมธาวี
อาจเป็นก้าวแรก
แต่เป็นก้าวที่กล้า
“เมื่อเราเริ่มก้าวเดิน จะไม่เดียวดายแน่นอน เพราะในทุกเส้นทาง ย่อมมีคนก้าวเดินเช่นกัน เพียงแต่อาจต่างสถานะกันบ้าง”
เอาใจช่วยเสมอ
ไปละ อิอิอิ
ยังคงเป็นกำลังใจให้เสมอครับ
ทุกคนย่อมมีก้าวแรกที่จะเริ่มเดินทั้งนั้น เพราะเมื่อไม่มีก้าวแรก ย่อมไม่มีก้าวที่สองแน่นอน
สู้ๆ ครับ
สู้ต่อไปพี่ เหมือนเหล้าแค่หยดเดียวยังมีความซ่าของดีกรี
ที่ผ่านมาเห็นความตั้งใจและมีโอกาสได้พูดคุยกันบ้าง ถึงแม้ก้าวแรกจะเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าเราผ่านช่วงนี้ไปได้ รับรองฉลุยเลยละ
ใครบอกละ ว่าก้าวเดินก้าวแรก เงียบเหงาและเดียวดาย….อย่างน้อยยังมีกำลังใจเล็กๆ ส่งให้เสมอ
อบอุ่นนะ “กลุ่มรองเท้าแตะ” เข้ามาเป็นกำลังใจให้พี่ชายบ้างค่ะ สู้ตายด๊อกเตอร์สลัม (ตอนหล่อ) 🙂