พอผมเรียนจบปริญญาตรีก็ไปทำงานเป็น Programmer อยู่บริษัท Software House แถว ๆ ตรอกจันทร์ ได้เงินเดือน 7,600 บาท ไม่ไหวครับ! อยู่แค่ 2-3 เดือนก็ลาออก
ตกงาน ไร้เงินอยู่พักใหญ่ ก็ได้มาทำงานที่ มูลนิธิกองทุนไทย (Thai Fund Foundation) ในบทบาท ผู้ประสานงานโครงการ ก็เรียกได้เป็น NGO เต็มตัว ไอ้คนชอบออกค่ายฯ มากกว่าเข้าห้องเรียน จบเกรดเฉลี่ย 2 นิด ๆ แบบผมน่ะ ได้งานที่นี่ถือว่าโชคดีมากแล้วล่ะ เพราะตรงจริต แถมโครงการที่ทำก็เกี่ยวกับการสื่อสาร เทคโนโลยี ตรงสายที่เรียนมาเลย
มูลนิธิกองทุนไทย เหมือนบ้าน มีพี่ ๆ คอยสอนสั่ง มีเพื่อนคอยสนับสนุน คุณไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ประธานมูลนิธิฯ, พี่เดช พุ่มคชา, พี่สมหญิง สุนทรวงษ์, พี่ต๋อย กรรชิต สุขใจมิตร ผอ.มูลนิธิฯ, พี่กวิน ชุติมา, พี่กำราบ พานทอง ฯลฯ
ส่วนพี่ ๆ ต่างองค์กรที่เป็นเหมือนครูของผม ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือ พี่หนูหริ่ง สมบัติ บุญงามอนงค์ ไอดอลของผมด้านงาน NGO ลงพื้นที่ครั้งแรกในชีวิตการทำงาน ก็ได้นอนบ้านพี่หริ่งที่ ม.กระจกเงา จ.เชียงราย นี่แหละ, พี่จืด/หน่อย กลุ่มเด็กรักป่า จ.สุรินทร์, พี่อิศ พิเชษฐ์ ปานดำ จ.พังงา/ภูเก็ต จังหวัดที่ ๆ ผมไปบ่อยแทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่ 2, พี่หลวง สันติพงษ์ มูลฟอง จ.แม่ฮ่องสอน ผู้ที่ทำงานประเด็นคนไร้สัญชาติมาตั้งแต่เริ่มต้น, พี่จู สุรศักดิ์ เย็นทั่ว แห่งบ้านร้อยหวันพันธุ์ป่า จ.พัทลุง (เมื่อก่อนเป็นโรงเรียนร้อยหวันฯ), พี่พยงค์ ศรีทอง จ.สุพรรณบุรี ฯลฯ มีอีกหลายคนครับ เยอะจนเอ่ยนามไม่หมด
พอดีผมเจอรูปเก่า ๆ โดยบังเอิญ ทำให้ความทรงจำเก่า ๆ เปิดม่านฉายให้คิดถึง รูปนี้น่าจะถ่ายไว้เมื่อปี 2544-2545
โครงการที่ผมรับผิดชอบ เป้าหมายคือ การสื่อสารทำความเข้าใจกับสังคมให้รู้ว่า NGO คือใคร ทำอะไร เพื่ออะไร ทำอย่างไร โดยใช้สื่อ Online หรือในตอนนั้นเราเรียกมันว่า “สื่อทางเลือก” (แต่เดี๋ยวนี้เป็นสื่อหลักไปแล้ว) เมื่อคนเข้าใจก็จะได้ลดทอนความเกลียด ความไม่ชอบลงไปบ้าง แต่ก็ดูจะไม่สำเร็จนะ เพราะปัจจุบันคนยังด่า NGO ใน Social Media กันอยู่ ในมุมมองหรือความเข้าใจแบบเดิม ๆ
NGO ไม่ได้อ่านว่า “โง่” แบบที่มีคนชอบกระแนะกระแหนหรอกครับ แต่หมายถึง Non-Governmental Organization หรือ องค์กรพัฒนาเอกชน แล้วคนทำงาน NGO ก็ไม่ได้เห็นแก่จะเอาเงินบริจาคอย่างเดียว หรือเอะอะอะไรก็ค้านไปซะหมด อย่างที่สังคมเชื่อว่าเป็น คนทำงานที่ดี ๆ ที่เก่ง ๆ ที่มีคุณค่า มีมากมาย แต่แน่นอนล่ะว่า ไอ้ที่ไม่ดีมันก็มี เยอะด้วย แต่ก็เป็นปกติวิสัยในทุก ๆ วงการ
ทุกวันนี้ผมก็ยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ที่แตกต่างจากเดิมทั้งในแง่รูปแบบ วิธีการ และประเด็น ที่ผมเติบโตขึ้นทั้งความคิดและความเชื่อก็เพราะ 9 ปีที่อยู่ในร่มเงาของ มูลนิธิกองทุนไทย เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่คนเพี้ยน ๆ ห่าม ๆ แบบผมได้รับอนุญาตให้แสวงหาได้ ผจญภัยได้ ลองถูกลองผิดได้ ต้องขอบพระคุณครับ
อรรณพ นิพิทเมธาวี
24 ตุลาคม 2567