
“ทุกแว่นแคว้นถิ่นฐานล้วนมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ซึ่งนับดูแล้วจำนวนไม่เคยมาก พวกเขาทุ่มเททุกอย่างเพื่อกอบกู้สังคมที่ตนเองสังกัด โดยไม่คำนึงถึงความเหนื่อยยากหรือแม้แต่ภัยอันตราย คนเหล่านั้นไม่ใช่ศาสดา พวกเขาต้องมาใช้ชีวิตไถ่บาปในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ ต้องลำบากตรากตรำ และสละสิ่งต่าง ๆ ที่ควรเป็นของเขาเพื่อให้คนอื่นได้พ้นเคราะห์กรรม และได้รับคุณค่าแห่งชีวิตในราคาที่ถูกลง” – การผ่านพ้นของยุคสมัย, 2533
สายลมแห่งฤดูกาลพัดเอื้อย ๆ พร้อมสำเนียงแห่งมหานครที่มิเคยหลับ ยังคงแว่วมาให้โสตสัมผัสตื่นรู้ กลางหมู่มิตรที่คืนวันแห่งอนาคตกาล อาจ หรือ มิอาจ ผกผันกลายเป็นอริ …ใครจะรู้ได้ นอกจากฟ้าดิน
ข้าพเจ้ายังคงนั่งอยู่ ณ ตำแหน่งเดิม บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่าตัวนั้น ท่ามกลางวงสุราเสวนา
“ใครคือ นักเขียน ที่นกชอบมากที่สุด” บุรุษวัยเลยเกษียณ สัมมาชีพเป็นนักดนตรีอิสระ หนึ่งในสมาชิกวงดนตรีระดับตำนานของเมืองไทยเอ่ยถามขึ้น หลังจากบทสนทนาแลกเปลี่ยนว่าด้วยเรื่องงานวรรณกรรม
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ข้าพเจ้าตอบสวนทันควันโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้เสี้ยวแห่งเวลา
“ไม่ได้เป็นแค่นักเขียนที่ชอบมากที่สุด แต่ยังเป็นต้นแบบ เป็นไอดอลของชีวิต” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปเช่นนั้น เนื่องเพราะมันเป็นเช่นนั้น
อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ผู้มีส่วนสำคัญในการได้มาซึ่งชัยชนะและเสรีภาพของประชาชน เพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ไทย กลับกลายเป็นผู้พ่ายแพ้หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ต้องหลีกหนี เร้นกายในราวป่า ร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลายฤดูกาลผ่านเวียน กลับออกจากป่าในฐานะผู้ปราชัยหมดรูป ไปศึกษาต่อต่างประเทศ กลับเมืองไทยเป็นอาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จนเกษียณ ตกปลาเป็นงานอดิเรก มีภรรยาเป็นทั้งอดีตผู้นำนักศึกษาและกวีซีไรต์ มีลูกชาย 2 คน (ซึ่งปัจจุบันอาจจะดังกว่าพ่อ) เป็นนักเขียน นักประพันธ์ คอลัมนิสต์ สร้างการวรรณกรรม บทความชั้นเลิศไว้มากมาย

การให้เลือกหยิบงานของ สหายไท (ชื่อจัดตั้งในป่าของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) เพียง 1 เล่ม เพื่อเป็นดั่งตัวแทนนำเสนออิทธิพลของมันต่อชีวิตข้าพเจ้า ยากดั่งบังคับให้เลือกดวงดาวที่งามที่สุด ออกจากฟากฟ้าราตรี
การผ่านพ้นแห่งยุคสมัย ผู้ชายที่กำลังสูญพันธ์ ห้วงยามแห่งความพ่ายแพ้ ผ่านพ้นจึงค้นพบ มหาวิทยลัยชีวิต โลกเปลี่ยนต้องเปลี่ยนโลก คนกับเสือ คลื่นเสรีภาพ ทางทากและสายน้ำเชี่ยว วิหารที่ว่างเปล่า วันที่ถอดหมวก ฯลฯ ล้วนคือ เอกอุแห่งงานวรรณกรรมชีวิตที่มิอาจแยกจาก
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล คือ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิตข้าพเจ้ามากที่สุดคนหนึ่ง ทั้งต่อความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ ความสนใจ ความเชื่อ ความศรัทธา
อักษรและวรรณยุกต์ที่เรียงบนหน้ากระดาษ ประกอบกันเป็นความหมายต่าง ๆ จากปลายคมความคิดของ นักเขียนรางวัลศรีบูรพา ปี 2546 ผู้นี้ ถูกบันทึกผ่านสายตา สมอง และจิตใจข้าพเจ้า นับตั้งแต่ยังเป็นหนุ่นน้อยวัยฉกรรจ์ ตราบจนถึงปัจจุบันสมัยแห่งวัยเริ่มร่วงโรย
มันคือ เข็มทิศแห่งอุดมการณ์ของข้าพเจ้า
“รักแท้คือวิญญาณเดียวที่สถิตอยู่ในสองร่าง เมื่อพบ ทั้งสองฝ่ายคงจะรู้ มันคงเป็นการเคลื่อนเข้าหากันมากกว่าการติดตามไขว่คว้า หากรักแท้คือวิญญาณเดียวที่สถิตอยู่ในสองร่าง รักแท้ย่อมไม่มีการพลัดพราก เพราะวิญญาณที่ค้นพบส่วนที่หายไปของตนย่อมมิอาจกรีดเฉือนส่วนนั้นออกไปอีก จากนี้ไป มิว่าเรือนร่างนั้นจะอยู่ห่างกันเพียงใด ในใจย่อมมีส่วนที่เหลือผนึกแน่น สำหรับเขา ความรักควรเป็นเช่นนี้ หาไม่แล้ว บางทีอาจต้องเรียกมันด้วยถ้อยคำอื่น” – คนกับเสือ, 2539
อรรณพ นิพิทเมธาวี
16 มิถุนายน 2563