Photo by Carabao Official Facebook

คนเก็บฟืน
คำร้อง : ยืนยง โอภากุล
ทำนอง : ปรีชา ชนะภัย

เบื้องบนเป็นแผ่นฟ้ากว้าง เบื้องล่างเป็นธารน้ำใส
ตัว ฉันมีกาน้ำหนึ่งใบ กับกองฟืนที่วางอยู่เรียงราย
อยู่มา ปีแล้ว ปีเล่า วันเก่า ๆ ได้ผ่านเลยไป
คืบคลานเข้าสู่วันใหม่ ลมหายใจยังอบอุ่นในทรวง

** ฉันไม่เคยคิดอื่นใด ที่ยาวไกลเกินสุดขอบฟ้า
เราพบกันใต้ดวงตะวันรอน ยามเธอนอนฉันจะกล่อมนิทรา
เราพบกันแล้วพากันก้าวไป ไปเก็บไม้ เก็บฟืน มาต้มกา
น้ำเดือดเรามาแบ่งกันกิน ฟืนหมด เราช่วยกันเก็บฟืน

ซ้ำ *

บางคนว่า ฉันเป็นคนบ้า บางคนว่า สติไม่ค่อยดี
บางคนว่าฉันเป็นเช่นนี้ เพราะผิดหวังบางสิ่งที่ตั้งใจ

ซ้ำ **

ณ บ้านหลังริมคลอง หลังหนึ่งในหมู่บ้านปรีชา ที่มีเจ้าของบ้านนามว่า “ทวีศักดิ์ สุทาวัน” (วี อินโดจีน) บ้านซึ่งเป็นศูนย์รวมของเหล่ามิตรสหาย ยามเช้า”ที่สมาชิกยังคงหลับไหล ฟืนถูกจัดหา กองไฟได้ถูกจุดขึ้นโดยสมาชิกคนหนึ่ง เป้าหมายคือต้มกาน้ำ เพื่อชงกาแฟ เมื่อพรรคพวกตื่น วงเสวนากาแฟพูดคุย ณ บริเวณริมคลองก็เกิดขึ้น เป็นเช่นนี้ประจำ เสมอๆ ทุกเช้า

นั้นคือภาพชีวิต ภาพบรรยากาศ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย ตื่นขึ้นมานั่งคุยกันรอบกองไฟ น้ำเดือดก็แบ่งกันกิน ฟืนหมดก็ช่วยกันเก็บ

“กาน้ำ” เป็นสัญลักษณ์ เป็นเบ้าหลอม ความรัก ความฝัน และมิตรภาพ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในก้นบึ้งในจิตใจมนุษย์เรา หากแต่เรามีกาหล่อหลอม มีฟืนสุมไฟ ให้น้ำเดือด ก็เสมือน ความรัก ความฝัน และมิตรภาพ นั้นได้ถูกหลอม เราแบ่งน้ำกันกิน คือการแจกจ่าย แบ่งปันความรักให้เพื่อนมนุษย์ และเมื่อความรักเริ่มหายไป ไฟเริ่มมอด “ฟืนหมดเราช่วยกันเก็บฟืน” เป็นการเรียกร้องความงดงาดนั้นกลับคืนมา

นอกจากนี้ “คนเก็บฟืน” ยังเป็นผลผลิตจากยอดวรรณกรรมอย่าง “ขุนเขายะเยือก” โดย ฮั่นซาน (Cold Mountain : Han Shan) อีกด้วย ภาพของ “จือเต๋” ตัวเอกของเรื่อง ที่ผู้คนต่างมองว่าเขาบ้า เขาเพี้ยน ก็เลยพากันคิดกันไปว่าไอ้นี่ต้องผิดหวังในชีวิตแน่ ๆ แต่เปล่า จือเต๋ บรรลุถึงธรรม บรรลุถึงธรรมชาติ และไม่ยินดียินร้ายกับอะไรข้างหน้า ตัวเองเข้าใจตัวเองเป็นพอ

ตอนที่ จือเต๋ วักน้ำขึ้นดื่ม มีคนยื่นกระบวยมาให้ เขาก็รับกระบวยมาจ้วงตัก เสร็จแล้วก็แขวนไว้ไว้กับต้นไม้ จากนั้นในวันอื่นๆ ก็กลับมาวักน้ำกินอีก โดยไม่ได้สนใจกระบวยที่แขวนอยู่ ลักษณะอย่างนี้เป็นธรรมชาติ ซึ่งมนุษย์ที่อยู่กับสังคมบริโภคนิยมขาดหาย เลยไม่อาจจะทำความเข้าใจได้ จะเข้าใจได้ยังไง ในเมื่อมันไม่ได้ใช้แนวคิดที่เป็นธรรมชาติวัดกัน

จือเต๋ มีความสุข มีรอยยิ้มบนในหน้า ทั้งๆ ที่อยู่ในเสื้อผ้า อาภรณ์ที่ปะผุดั่งผ้าขี้ริ้ว หากแต่เขาเข้าใจตัวเอง สายตาภายนอกย่อมไร้ความหมาย แม้ว่า “บางคน…ว่าฉันเป็นคนบ้า บางคน…ว่าสติไม่ค่อยดี” ถ้ามนุษย์ติดอยู่กับสังคมบริโภคซึ่งต้องแข่งขัน ชิงดีขิงเด่นกัน ก็จะไม่มีวันพบความสุขที่แท้จริง

เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์ ยืนยง โอภากุล นิตยสาร Writer ฉบับ 44 มกราคม 2540

คนเก็บฟืน – คาราบาว