วณิพก
คำร้อง : ยืนยง โอภากุล
ทำนอง : ยืนยง โอภากุล
เมื่อดวงตาของฉันมันมืดมิด แต่ชีวิตฉันยังไม่มืดลง
แม้ความรักยังเคยมีมั่นคง จะร้างไกลไม่หวนกลับคืนมา
ออกยํ่าไปบนทางที่หิวโซ มิรู้คืนรู้วันเวลา
ขอเศษเงินเศษทานผู้ผ่านมา เพียงเมตตาฉันบ้างเป็นครั้งคราว
อยู่ในโลกความมืดอันลึกลับ คงสดับรับได้แต่สําเนียง
จะมองหามองเห็นก็เป็นเพียง ในความฝันยามฉันล้มตัวนอน
พอตื่นมาพานพบกับความหมาย ยังหายใจเนื้อตัวยังผ่าวร้อน
ยังมีหวังเห็นดวงตะวันรอน จะมัวนอนนิ่งเฉยอยู่ทําไม
*จึงมาเป็นวณิพกพเนจร
เที่ยวเร่ร่อนร้องเพลงแลกเศษเงิน
ที่เหลือกินเหลือเก็บเป็นส่วนเกิน
จะนําเงินสะสมรักษาดวงตา
หากฉันเป็นตัวแทนความมืดมิด ขอชดใช้ชีวิตที่เกิดมา
เพื่อทดแทนทุกท่านที่เมตตา ด้วยนําพาเสียงเพลงสู่ผู้ฟัง
เป็นบทเพลงโลกมืดและความหมาย จะกู่ก้องร้องไปไม่หยุดยั้ง
ใครจะว่าร้องเพลงให้ควายฟัง ฉันว่ายังมีคนที่เข้าใจ
ใครจะว่าร้องเพลงให้ควายฟัง ฉันว่ายังมีคนที่เข้าใจ
ใครจะว่าร้องเพลงให้ควายฟัง ฉันว่ายังมีคนที่เข้าใจ
“ยังจำได้…ตอนที่ผมชวนเล็กกับเขียวเข้ามาในชุดที่สอง (แป๊ะขายขวด) ยังบอกกับเขาเลยว่า ไม่นานหรอก ผมจะทำให้วงดนตรีนี้โด่งดัง เราจะขายได้ มีเงินกันเป็นล้าน ๆ ขอเวลาผมสักสามปี
จังหวะสามช่าซึ่งมันติดมากับผมตั้งแต่สมัยเชียร์รำวง ด้วยจังหวะนี้แหละจะทำให้บทเพลงเหล่านี้ไปถึงประชาชนด้านกว้างได้ ก่อนนั้นผมเขียนเพลงอย่าง ลุงขี้เมา หรือ หนุ่มสุพรรณ มันก็ได้เรื่องของเนื้อหา แต่ในเรื่องจังหวะที่เร้าใจแล้วตอนนั้นมันขาด มีวงอย่าง แฮมเมอร์ หรือ ฟ้าสาง ก็ไม่รุกเร้าใจเพียงพอ อีกสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจมากขึ้นก็คือ เรามีนักดนตรีที่มีฝีมืออย่างเล็กเข้ามาเป็นแกน ด้วยความเชื่อมั่นตรงนี้ ผมก็เขียนเพลงอย่าง วณิพก ขึ้นมา ที่ค่อนข้างง่าย ๆ สัมผัสได้ง่าย วณิพกสามารถที่จะแทนใครก็ได้ ตอนนั้นหลายๆ คนตะโกนร้องเพลงนี้อย่างกับตัวเองเป็นวณิพก ทั้งที่สถานะทางสังคมอาจเป็นลูกนายห้างใหญ่ เป็นโน่นเป็นนี่ อยู่บนตึกสูง ๆ เพราะจริง ๆ แล้ววิถีของชีวิตหรือวิถีของสังคมมันค่อนข้างอึดอัด เมื่อได้ตะโกน จึงมาเป็นวณิพกพเนจร… ก็รู้สึกว่าได้ปลดปล่อย สะใจ ในขณะเดียวกัน เรื่องราวของคนที่สู้ชีวิต เพียงเพื่อต้องการหาเงินมารักษาดวงตา มีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะมองเห็น มันก็เข้าไปเปรียบได้กับทุก ๆ ชีวิตที่กำลังต่อสู้อยู่ในสังคม ว่า – เออ ดูคนตาบอดยังมีความพยายาม แล้วเราเป็นใคร ทำไมเราถึงไม่พยายาม
จากที่เคยตั้งไว้สามปี แค่เพียงปีเดียวเราก็สามารถคว้าดาวมาได้ แต่เป็นดาวกระดาษนะ (หัวเราะ) ดาวจริง ๆ ไม่ค่อยได้หรอก”
ยืนยง โอภากุล ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร Writer ฉบับ 44 มกราคม 2540