จรัล มโนเพ็ชร เกิดวันที่ 1 มกราคม 2498 ณ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ บิดาชื่อ สิงห์แก้ว มโนเพ็ชร ผู้เชี่ยวชาญและมีฝีมือเป็นเยี่ยมในการประดิษฐ์ โคม และตุง มารดาชื่อ แม่ต่อมคำ สืบสายเลือดมาจากตระกูล ณ เชียงใหม่ ครอบครัวของเขาเป็น ครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน เวลานั้นพ่อสิงห์แก้วทำงานรับราชการอยู่แขวงการทาง ซึ่งสังกัดกรมการทาง จ.เชียงใหม่ แต่รายได้ไม่เพียงพอ จึงหารายได้พิเศษโดยการรับงานปั้นและงานแกะสลัก ซึ่งจรัลก็ได้มีส่วนช่วยในงานของพ่อด้วย
จรัล มโนเพ็ชร เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 จากโรงเรียนพุทธิโสภณ และจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนเมตตาศึกษา จังหวัดเชียงใหม่ จรัลเป็นนักเรียนที่มีประวัติการเรียนดีมากสอบได้ที่ 1 มาตลอด สอบได้ที่ 2 เพียงครั้งเดียว เข้าศึกษาต่อที่วิทยาลัยเทคนิคพายัพ จังหวัดเชียงใหม่ สำเร็จประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงสาขาบัญชีเมื่อ พ.ศ. 2516
จรัลรักและสนใจดนตรีฝึกเรียนดนตรี และสามารถเล่นได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หัดเล่นเปียโนเมื่อเรียนชั้นประถมปีที่ 2 เล่นซึงเมื่อเรียนชั้นประถมปีที่ 3-4 เล่นกีตาร์เมื่อเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-7 ตีขิมได้เมื่อเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 จรัลได้รับความสนับสนุนทั้งจากทางบ้าน และทางโรงเรียนทางบ้านพ่อแม่เป็นนักดนตรี ทางโรงเรียนก็สนับสนุน และเปิดโอกาสให้แสดงความสามารถทางดนตรี อย่างเต็มที่
จรัลฝึกดนตรีอย่างจริงจังเมื่อเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคพายัพปีที่ 2 ขณะนั้นอายุประมาณ 14 ปี เป็นช่วงที่เขาสนใจดนตรีลูกทุ่งตะวันตก พอเรียนชั้นปีที่3 เริ่มร้องเพลงและได้ค่าจ้างจากการไปเล่นดนตรีตามงานบ้างตามโรงแรมบ้าง ส่วนใหญ่เล่นเพลงลูกทุ่งตะวันตก
จรัลได้สอบบรรจุได้เป็นข้าราชการของแขวงการทาง ที่อำเภอพะเยา และเขาก็ทำงานร้องเพลงอยู่ที่นั่นด้วย เขาลาออกจากงานข้าราชการ เพราะทนการคอรัปชั่นไม่ได้ และการที่เพื่อนของเขาต้องเสียชีวิต โดยที่ไม่รู้เรื่องด้วยจากการทำร้ายผิดตัว ก่อนที่เขาจะลาออกจากงานเขาได้ทิ้งทวนโดยการเปิดโปง การโกงกินเงินตราของแผ่นดิน ของข้าราชการเหล่านั้น
จากการสนับสนุนของ มานิด อัชวงศ์ ที่ชักชวนให้ออกเทปเพลง จรัลจึงเลือกบทเพลงท้องถิ่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว และเขียนคำเมืองขึ้นมาใหม่อีกหลายเพลง และออกงานเพลงที่ชื่อ โฟล์คซองคำเมือง อมตะ จากนั้นมาจรัลก็มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ และในขณะเดียวกันเขาก็ยังทำงานเป็นสมุห์บัญชี อยู่ที่ธนาคาร ธกส. ด้วย รวมแล้ว เขาเป็นทั้ง นักร้อง นักดนตรี และสมุห์บัญชีในเวลาเดียวกัน
เอกลักษณ์ของผลงานของเขาที่โดดเด่น คือความเป็นล้านนา และใช้ภาษาคำเมือง เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้พบเห็นมา เล่าเป็นเรื่องราว และมีเนื้อหาที่น่าติดตาม โดยเผยแพร่ออกมาในรูปแบบของบทเพลงที่ไพเราะและน่าฟัง
ผลงานเพลงของจรัลที่โด่งดังและได้รับความนิยมมาก คือ
- อมตะ 1 เพลงเอกได้แก่ อุ๊ยคำ, ของกิ๋นคนเมือง
- อมตะ 2 เพลงเอกได้แก่ ก้ายง่าว, แอ่วสาว
- เสียงซึงที่สันทราย เพลงเอกได้แก่ เมืองเหนือ, กลิ่นเอื้องเสียงซึง
- จากยอดดอย เพลงเอกได้แก่ จากยอดดอย, มิดะ
- ลูกข้าวนึ่ง เพลงเอกได้แก่ ตากับหลาน, มะเมียะ
- แตกหนุ่ม เพลงเอกได้แก่ ดอกฝ้าย, บ้าน
- อื่อ…จ่า..จ่า เพลงเอกได้แก่ อื่อ…จ่า..จ่า
- บ้านบนดอย เพลงเอกได้แก่ ลุงต๋าคำ, ม่อฮ่อม
- เอื้องผึ้ง จันผา เพลงเอกได้แก่ เอื้องผึ้ง จันผา, แม่ค้าปลาจ่อม
จรัล เคยฉีกแนวของเขาครั้งหนึ่งโดยการทำดนตรีในแนวแจ๊ส ซึ่งเขาให้ชื่องานชิ้นนี้ว่า จรัลแจ๊ส แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงของเขา
ในปลายปี 2533 จรัลได้ร่วมเดินทางไปกับกองถ่ายภาพยนตร์ เรื่อง วิถีคนกล้า แต่แรกหน้าที่ในการทำงานของเขาคือ การทำดนตรีประกอบและเป็นที่ปรึกษาของกองถ่าย แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับการขอร้องจาก ยุทธนา มุกดาสนิท ให้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
กลางปี 2536 จรัลได้ตกลงใจรับแสดงภาพยนตร์เรื่อง กาเหว่าที่บางเพลง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้รับการออกฉายตามโรงภาพยนตร์ เพราะมีปัญหา ในเรื่องดนตรีประกอบ ทำให้ นิรัติศรัย กัลย์จาฤกษ์ ต้องขอให้จรัลช่วยทำดนตรีให้ จึงทำให้เขาต้องทุ่มเทอย่างหนัก กับผลงานชิ้นนี้ด้วยสาเหตุในเรื่องของเวลาที่มีอยู่จำกัด และจำเป็นจะต้องให้ผลงานนั้นออกมาดีเยี่ยม
จรัลเป็นคนชอบเขียนบทกวี และแปลเพลงฝรั่งเป็นภาษาไทย ตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม หลังเหตุการณ์ 13-14 ตุลาคม 2516 เขียนเพลงปลุกใจเพลงเชียร์และเพลง เกี่ยวกับอุดมการณ์
ปี 2525 จรัลได้รับรางวัลจากหน่วยงานของ องค์การยูนิเซฟ เป็นเหรียญบรอนซ์สำหรับศิลปินเพื่อสันติภาพ โดยผู้อำนวยการของยูนิเซฟในย่านเอเชียแปซิฟิค ขณะนั้น ซึ่งเป็น ชาวอินเดีย ในฐานะที่จรัลได้หาเงินและขอรับบริจาคเงินจากการขึ้นเวที ร้องเพลงเพื่อนำไปมอบให้หน่วยงานของยูนิเซฟ เพื่อให้ไปดูแลผู้พิการและคนยากจน เพื่อที่จะให้แพทย์ช่วยรักษาและทำการผ่าตัดให้เด็กๆ เหล่านั้นเป็นปกติเหมือนเดิม
ปลายเดือนกรกฎาคม 2530 จรัลได้รับเกียรติให้แสดงละครเวทีเรื่อง แมน ออฟ รามันชา ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาชื่นชอบโดยที่เขาไม่คาดคิด ซึ่งเขาได้รับบทเด่นในเรื่องนี้ด้วย โดยที่แสดงเป็น ดอน กิโฆเต้ ซึ่งเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในเรื่องนี้
ในปี 2538 จรัลได้รับรางวัลสีสันอะวอร์ด ถึง 3 รางวัลรวด ในฐานะศิลปินชายยอดเยี่ยม อัลบั้มยอดเยี่ยม และบทเพลงยอดเยี่ยม ซึ่งรางวัลดังกล่าวนั้นมาจาก ผลงานชิ้นเดียวคือ ศิลปินป่า นอกจากทั้ง 3 รางวัลนี้แล้ว บทเพลง น้ำแม่ปิง จากผลงานชุดนี้ยังได้รับประกาศเกียรติคุณจากชมรมสภาะแวดล้อมแห่งสยาม และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นบทเพลงดีเด่นสำหรับเยาวชนตั้งแต่อายุ 17 ปีขึ้นไป
ในปลายปี 2539 จรัลได้รับรางวัลพระพิฆเนศทองคำในสาขานักร้องชายดีเด่น ประเภทเพื่อชีวิตสร้างสรรค์
ในช่วงปี 2541 จรัลได้สร้างสรรค์บทเพลงที่ชื่อว่าเพลง ฝากไว้ให้กันและกัน ในผลงานชุด ความหวังความฝันของวันนี้ ซึ่งเป็นบทเพลงจากบทกวีสั้นๆ ที่เขาได้เขียนขึ้น ให้กับเพื่อนได้อ่านในร้าน สายหมอกกับดอกไม้ ซึ่งเป็นกิจการที่เขาเปิดขึ้นมีเวทีดนตรีเล็กๆ ที่มีนักดนตรีโฟล์คซองอยู่ แต่ไม่ใช่ตัวจรัลเอง ที่เล่นดนตรีบนนั้น เพราะไม่ค่อยมี เวลาที่จะเข้ามาดูแลร้านอย่างเต็มที่ จนกระทั้งในปี 2543 เขาจึงใช้ชีวิตในเมืองเหนือมากขึ้น
วาระสุดท้ายของศิลปินล้านนา ต้นปี 2544 จรัล ได้เตรียมงานใหญ่ไว้งานหนึ่ง นั่นคือคอนเสริต 25 ปี โฟล์คซองคำเมือง ซึ่งจะเป็นงานเพลงคำเมืองล้วนๆ ทั้งสิบเพลง ซึ่งได้กำหนดไว้ให้แสดงที่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในวันที่ 25 ตุลาคม 2544
ในคืนวันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2544 จรัลขึ้นเวทีร้องเพลง ที่ร้านสายหมอกกับดอกไม้เป็นคืนสุดท้าย ก่อนที่เขาจะกลับบ้านหม้อคำตวงที่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมงานคอนเสิร์ตอันยิ่งใหญ่ของเขา
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2544 จรัลต้องออกไปประชุมเพื่อฝึกซ้อมนักแสดงแต่เช้า เขากลับมาถึงในเวลาเที่ยงคืน และเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาอาหารกิน ซึ่งบุคคลใกล้ชิด บอกว่าปกติแล้วจรัลไม่มีนิสัยกินอาหารตอนดึก ก่อนเข้านอนคืนนั้นเขาได้บอกกับคนใกล้ชิดว่ารู้สึกปวดที่แขนข้างซ้าย
ในเวลาประมาณตี 3 จรัล ได้เรียกคนใกล้ชิดและพูดอย่าง อ่อนแรงว่า “มันไม่บอกก่อนเลยนะ” “มันไม่เตือนก่อนเลยนะ” และก่อนที่จะพาจรัลไปโรงพยาบาล เขาก็ได้สิ้นใจในอาการอย่างคนหลับสนิท ศีรษะทับอยู่บนแขนข้างซ้าย แขนขวาของเขาแนบไปกับลำตัว ร่างทั้งร่างทอดกายนิ่งสงบ