
“…เป็นคนค่อนไปทางสุขนิยม อะไรทุกข์ก็อยากจะลืม ๆ ไปบ้าง พยายามคิดค้นอีกด้านหนึ่ง เป็นคนชอบความสบายใจ ความสวยงาม แต่ก็ต้องมีความรู้ด้วย ตัวตน SUMMER จะเป็นอย่างนี้” – ละออ ศิริบรรลือชัย บรรณาธิการนิตยสาร summer
“…a day เป็นนิตยสารที่คิดมาก แต่อ่านง่าย เป็น positive thinking magazine ของคนรุ่นนี้ที่หน่ายกฎเกณฑ์เก่า ๆ รำคาญความซ้ำซากจำเจ ถ้าเปรียบเป็นคนจะเป็นพวกรวยอารมณ์ขัน ทันสมัย ช่างคิด มองโลกในแง่ดี แหกคอก ขณะเดียวกันก็ฉลาดพอที่จะรู้จักกาลเทศะ” – วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บรรณาธิการนิตยสาร a day หรือตำแหน่ง “Visionary Director” ตามที่ปรากฏในนามบัตรของเขา
summer และ a day เป็น 2 ใน 5 นิตยสารที่ GM (ฉบับเดือนสิงหาคม 2543) เรียกว่าเป็น “หน่วยรบเลือดใหม่ในสังเวียนนิตยสาร” โดยอีกสามนิตยสารได้แก่ OPEN, HOW-TO และ Alternative Writer
เหตุที่ผู้เขียนเลือกกล่าวถึงเฉพาะการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของนิตยสาร summer และ a day หรือที่วงศ์ทนงจัดประเภทตัวเองไว้ว่าเป็น “positive thinking magazine” นั้นก็เพราะความเป็น “เลือดใหม่” ไม่ใช่ประเด็นสำคัญของบทความนี้ แต่เพราะผู้เขียนคิดว่ามีอันตรายบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังวิธีคิดแบบ “สุขนิยม”, “มองโลกในแง่ดี” รวมทั้งการเฝ้าชื่นชมหลงใหลใน “เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม” ของนิตยสารที่เลือกมองแต่ความรื่นรมย์ของโลกอย่าง summer และ a day ต่างหาก
ไม่ว่าคนทำนิตยสารจะมีเลือดเก่าหรือเลือดใหม่อยู่ในตัว มันก็น่ากลัวด้วยกันทั้งนั้นถ้าหากว่าพวกเขาไม่ใส่ใจจะมองปัญหาเชิงโครงสร้าง หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ไม่วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างถอนรากถอนโคนและทำเป็นมองไม่เห็นถึงผลกระทบ จากการใช้ชีวิตของชนชั้นกลางในเมือง (อย่างพวกเขา) ต่อคนส่วนใหญ่แล้วจงใจหลบเลี่ยงไปอ่อนไหวอยู่กับเรื่องราวประเภท “บางทีผมเหยียบมดตายทั้ง ๆ ที่ผมไม่เจตนา ผมเหยียบต้นหญ้าจนบอบช้ำอยู่เรื่อย” (คอลัมน์ Analize This ของ โลเลและนายขนุน : summer premiere issue November+December 1999 ) หรือหลีกหนีความโหดร้าย ที่คนในสังคมกระทำต่อกันด้วยกันคร่ำครวญ / โหยหาอดีตอันรื่นรมย์ เช่น โฆษณาเก่า ๆ , สินค้าเก่า ๆ และภาพยนตร์ดี ๆ ในอดีต ดูได้จากคอลัมน์ yesterday, แอด ฟอร์ ฟัน และสกู๊ปเรื่อง Nampoo…something still remains (a day ; number 2, October 2000.)
ดูเหมือนเราจะคาดหวังอะไรกับนิตยสารกลุ่มมองโลกสวยงาม-เน้นความมีอารมณ์ดีนี้ไม่ได้มากไปกว่าเนื้อหา ที่เร่งเร้าให้ผู้อ่านหันมาหาความรื่นรมย์ใส่ชีวิต ข้อความประเภท “…ไม่เร่งรีบ เหนื่อยก็พัก ขี้เกียจเข้าก็ล้มตัวลงนอนหรือจะถอยกลับไปข้างหลังบ้างก็ได้ เพราะบางทีเราอาจทำของสำคัญตกหล่นไว้ บนระหว่างเส้นทางที่ผ่านมา” (Walking Story ; summer issue 6, July 2000.) หรือ “…มีความสุขกับหนังสือดี ๆ สักเล่ม เขียนโปสการ์ดถึงคนที่คิดถึงหรือเปิดเพลงโปรดให้เพลงเพราะ ๆ กล่อมเราเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข เข้าสู่โลกอีกโลกที่ชื่อว่า ความฝัน” (คอลัมน์ Bed Time ; a day, number 1, September 2000) มีให้อ่านอยู่มากมายใน summer และ a day จึงไม่แปลกเลย ถ้าพวกเขาจะมองว่าการทำหนังสือก็เป็นเหมือน “คนพเนจรที่ระหว่างทาง อาจจะเจอร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งที่ดูน่าอร่อย เอ้าแวะกินก่อน ไปเจอสวนดอกไม้ก็แวะเดินชม หรืออาจจะเด็กสักคนก็ลงไปทักทายเพราะเราไม่รีบ ค่อย ๆ เก็บรายละเอียดให้ชีวิต” (ภาสกร ประมูลวงศ์ นักเขียนและครีเอทีฟของ a day ให้สัมภาษณ์กับ GM)
วิธีคิดแบบนี้กำลังถูกเผยแพร่เพื่อสร้างเครือข่ายและหาแนวร่วมอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวันนี้ นอกจากจะมีนิตยสารประจำกลุ่มอย่าง summer และ a day แล้ว สมาชิกมองโลกสวยงามยังมีคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์รายวัน-รายสัปดาห์อีกจำนวนหนึ่ง เช่น ใน “มติซน” (หน้า 14 นสพ. มติชนฉบับวันอาทิตย์) รวมทั้งมีวงสนทนาว่าด้วยเรื่องราวเล็ก ๆ ซึ่งดำเนินไปอย่างแสนคึกคักใน bookcyber.com อีกด้วย
โตมร ศุขปรีชา นักเขียนผู้ผ่านการทำงานกับนิตยสารมาแล้วหลายฉบับเคยเขียนถึงการมองโลกในแง่ดีไว้ในคอลัมน์ Inspiration นิตยสาร Image ว่า
“…ทุกวันนี้ การมองโลกในแง่ดีกลายเป็นกระแส กลายเป็นแฟชั่น กลายเป็นธงรบ กลายเป็นศาสนาและกลายเป็นของเก๋ของคนกลุ่มหนึ่ง แต่บางทีอาจจะเก๋เกินไป-เพราะการมองโลกในแง่ดีหลายครั้งไม่ได้ ‘ดี’ จริง… และหลายครั้งถึงกับถูกใช้เป็นอาวุธ ถึงขั้นเป็นการใช้ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่สำคัญก็คือ แทบจะไม่มีใครตั้งคำถามต่อการมองโลกในแง่ดีเลยแม้แต่คนเดียว ที่ผมอด ‘มองโลกในแง่ร้าย’ และทำให้รู้สึกเป็นห่วงไม่ได้ก็คือ ผมเห็นว่า ฝูงที่มองโลกในแง่ดีต้องเป็นฝูงที่มีความสุขมากพอที่จะมองโลกในแง่ดีได้ นั่นแปลว่าฝูงที่มองโลกในแง่ดีต้องเป็นฝูงที่พออกพอใจกับชีวิตของตนในระดับหนึ่ง และนั่นย่อมหมายความว่า ฝูงนั้นพอใจกับระบบสังคมและโครงสร้างของสังคมที่ดำรงอยู่ ซึ่งก็คือสังคมแบบทุนนิยมที่มีระบบคิดแบบชนชั้นกลางเป็นใหญ่ เป็นสังคมที่ ‘นิพพาน’ ของมัน คือ การสามารถขายทุกอย่างได้ แม้แต่ความสุขที่เกิดจากการมองโลกในแง่ดี !”
งานเขียนของโตมรชิ้นนี้ยังโจมตีไปไกลถึงขนาดว่า การชักชวนให้ผู้คนหันมามองแต่เรื่องสวย ๆ งาม ๆ นั้นไม่สอดคล้องกับแนวคิดทางพุทธ เพราะแก่นของพุทธศาสนาคือการพิจารณาชีวิตตามที่มันเป็นจริงเพื่อให้รู้ว่าชีวิตนั้นเป็นทุกข์ อันจะนำไปสู่การค้นหาสมุทัย นิโรธ มรรค เพื่อให้พ้นจากทั้งสุข-ทุกข์ในที่สุด
แม้จะเคลือบแคลงใจอยู่บ้างว่าโตมรเองก็อาจจะเป็นพวกฝันเฟื่องใน “เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม” หรืออยู่ในฝูงที่มองโลกในแง่ดีด้วยเหมือนกัน เพราะเขาเคยเป็นคู่หูกับวงศ์ทนงในช่วงที่ทำนิตยสาร Trendy Man และ Image เคยคิดจะทำนิตยสารด้วยกันมาแล้วด้วยซ้ำ แต่ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับว่าไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ และพูดถึงอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังวิธีคิด วิธีมองโลก ของคนกลุ่มนี้ได้ชัดเจนเท่าเขาอีกแล้ว
บรรพบุรุษของมนุษย์สายพันธุ์นี้คือใคร? พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาด้วยปัจจัยหรือสภาพสังคมแบบไหน? ผู้เขียนต้องสารภาพว่ามีความรู้เกี่ยวกับพลวัตของสังคมไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันไม่มากพอที่จะหาคำตอบให้ได้ รวมทั้งไม่รู้จะให้คำจำกัดความคนกลุ่มนี้ว่าอย่างไรด้วย รู้แต่เพียงว่าพวกเขาชอบเขียนและพร่ำพูดถึงเรื่องการเดินทาง, การท่องเที่ยว, ความใฝ่ฝัน, ตัวตน, รอยยิ้มของเด็กและคนแก่, ดอกไม้ในทุ่งหญ้า, ร้านก๋วยเตี๋ยวน่ารัก ๆ ริมทาง, คนเล็ก ๆ , เรื่องเล็ก ๆ ที่น่าจดจำ, ร้านกาแฟเล็ก ๆ , ร้านหนังสือเล็ก ๆ, มิตรภาพและน้ำใจแสนหวาน
ประภาส ชลศรานนท์, สมาชิกศิษย์สะดือ, เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย, ‘ปราย พันแสง, วงเฉลียง, อุดม แต้พานิช, ปราบดา หยุ่น, โรเบิร์ต ฟูลกัม (ผู้เขียนหนังสือยอดฮิตเรื่อง True Love, ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา และคนที่ประกาศว่า “ความเฟื่องฝันมีอานุภาพมากกว่าความจริง”) เป็นตัวอย่างบุคคลที่พวกเขาปลื้ม คิดว่าน่าสนใจและมีอะไรให้ค้นหา
ถ้อยคำที่พวกเขาใช้อยู่บ่อย ๆ มักอยู่ในกลุ่มคำว่าด้วยความฝัน (ความใฝ่ฝัน, นักฝัน, ประกายฝันน้อย ๆ, กล้าที่จะฝัน, ก่อร่างสร้างฝัน, ทำตามความฝัน) การเดินทาง (เส้นทาง, คนเดินทาง, ผจญภัย, การค้นหา, การแสวงหา) ความอบอุ่น (อุ่นอารมณ์, เรื่องอุ่น ๆ, ข้อเขียนอุ่น ๆ, กรุ่นบรรยากาศเอื้ออาทร) ความงาม ความรัก ความโรแมนติก ความอ่อนไหว เป็นต้น
ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่ แต่มุมมองและอารมณ์ความรู้สึกต่อปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมที่คนของ summer และ a day กำลังเผยแพร่อยู่นี้ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสิ่งที่มิลาน คุนเดอรา ผู้เขียนหนังสือเรื่อง ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต เรียกว่า “รสนิยมสาธารณ์” ซึ่งหมายถึงความรู้สึกแบบที่มวลชนส่วนใหญ่คล้อยตามได้ง่าย ๆ
คุนเดอราบอกว่า “รสนิยมสาธารณ์ไม่เน้นสภาพการณ์ที่ผิดธรรมดา แต่ต้องมาจากภาพพจน์พื้นฐานที่คนทั่วไปจดจำฝังแน่น เช่น ลูกสาวไม่รักดี พ่อผู้ถูกทอดทิ้ง เด็ก ๆ วิ่งเล่นบนสนามหญ้า มาตุภูมิที่ถูกทรยศ รักครั้งแรก…รสนิยมสาธารณ์ดลใจให้น้ำตาสองหยดไหลติดต่อตามกันอย่างรวดเร็ว น้ำตาหยดแรกครวญว่า : ช่างงดงามเสียนี่กระไรที่ได้เห็นเด็กๆ วิ่งเล่นบนสนามหญ้า ! น้ำตาหยดที่สองพิไรว่า : ช่างงดงามเสียนี่กระไรที่ได้ซึ้งใจไปกับมนุษยชาติทั้งมวลเมื่อได้เห็นเด็ก ๆ วิ่งเล่นบนสนามหญ้า”
นักเขียนผู้นี้ยังเตือนเอาไว้ด้วยว่า “รสนิยมสาธารณ์คือฉากที่ใช้กำบังความตาย บนเปลือกหน้าคือสิ่งมดเท็จที่ทุกคนเข้าใจ เบื้องหลังลึกลงไป สัจจะที่ไม่มีใครเข้าใจฉายลอดออกมา”
summer และ a day ซึ่งประกาศตัวว่าเป็น “นิตยสารทางเลือก” นี้ ดูเหมือนจะเป็นโรงงานผลิตรสนิยมสาธารณ์หรือเครื่องมือสืบทอดรสนิยมสาธารณ์ชิ้นล่าสุด เป็นคัมภีร์ที่ใช้เผยแพร่ลัทธิเล็ก ๆ ที่งดงามของพวกเขา และเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกสุขนิยม ซึ่งเมื่ออ่านจากบทบรรณาธิการของ a day ฉบับปฐมฤกษ์ที่เขียนถึงจุดเริ่มต้นของนิตยสารฉบับนี้ไว้ว่า “เอาความคิดใส่กระดาษ 5 แผ่น ส่งไปให้อ่าน แล้วคนเป็นพันส่งเงินกลับมาสมทบจนได้ครบล้านบาท…” , จำนวนคนที่เข้าไปพูดคุยถึงนิตยสารทั้งสองในห้องสนทนาทางอินเทอร์เน็ต, อีเมล/จดหมาย/ไปรษณียบัตรวันละ 80 ฉบับที่ถูกส่งมาถึงสำนักงานนิตยสาร a day, คำพูดของบก.summer ที่ว่า “ผู้อ่านของเราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ” ไปจนกระทั่งถึงข้อความที่วงศ์ทนงเขียนถึงผู้อ่านคนหนึ่งใน bookcyber.com ที่ว่า “ผมบอกได้อย่างหนึ่ง จากยอดขาย a day ที่อยู่ในมือ คือ กลุ่มของผม ‘ไม่เล็ก’ ครับ” คงเป็นเครื่องยืนยันได้ในระดับหนึ่งว่าฝูงคนมองโลกในแง่ดีหรือพวกคลั่งไคล้ “เรื่องเล็ก ๆ ที่งดงาม” นั้นไม่ใช่เล็ก ๆ เลย
เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหตุที่วิธีการมองโลกของคนกลุ่มนี้เป็นที่นิยมของคนเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็วก็เพราะว่ามันมีลักษณะเป็น “รสนิยมสาธารณ์” นั่นเอง
summer (ราคา 80 บาท) ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2542 ปีแรกประกาศว่าจะวางแผงปีละ 8 เล่ม แต่ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนมาออกรายเดือน summer อธิบายตัวเองว่าเป็น The Life style for All Season เป็นนิตยสารที่เกิดขึ้นจากความต้องการขยายธุรกิจของกลุ่ม art4d โดยมีบรรณาธิการเป็น ละออ ศิริบรรลือชัย อดีตผู้ช่วยบรรณาธิการนิตยสารเที่ยวรอบโลกและถ้าย้อนหลังไปไกลกว่านี้อีกหน่อยก็จะพบว่าเธอเป็นหนึ่งในสมาชิก “ศิษย์สะดือ” (หนึ่งในผู้เขียน หนุ่มนักโบกกับสาวขี้บ่น) summer แต่ละฉบับจะมีคอนเซ็ปต์เดียวกันทั้งเล่ม เช่น ผู้หญิงเดินทาง ความรัก มิลเลนเนียม กาแฟ การผจญภัย หนทาง เป็นต้น
a day (ราคา 60 บาท) ก่อตั้งเมื่อสิงหาคม 2543 วางแผงทุกต้นเดือน วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ผู้เป็นบรรณาธิการเคยผ่านงานนิตยสารมาแล้วหลายเล่ม เช่น Hi-Class, Image, Life&Decor, GM, Trendy Man และช่วงสั้น ๆ ก่อนหน้า a day ฉบับแรกจะวางแผง เขาลงมือเขียนคอลัมน์ “เรื่องเล็ก” ในมติชนสุดสัปดาห์ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเล็ก ๆ ที่เขาคิดว่างดงามน่าจดจำ เช่น เรื่องราวของคุณป้าที่ขับรถสีขาว, หญิงสาวขายขนมปังที่เขาเดินผ่านทุกวัน เป็นต้น
แม้ว่า “เรื่องเล็ก” จะปรากฏตัวอยู่ไม่นานนักแต่มันก็ได้ทำให้คนที่เห็นดีด้วยกับการมองโลกแบบวงศ์ทนงเพิ่มขึ้นอีกมากมายก่ายกอง เป็นไปตามแผนการที่เขาบอกกับ GM ไว้ว่า ตั้งใจเขียนให้อุ่น ๆ หน่อยเพื่อเก็บเกี่ยวแฟนสาว ๆ ไว้บ้าง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เขาขยันเข้าไปตอบกระทู้ด้วยถ้อยคำหวานหู ใน bookcyber.com
วงศ์ทนง บรรยายความเป็น a day ไว้ในบทบรรณาธิการฉบับที่ 2 ว่า “ตั้งใจให้ a day เป็นนิตยสารที่อ่านสนุก อ่านแล้วได้แง่งามของทัศนะและจินตนาการ…a day สร้างขึ้นบนเนื้อหาหลัก 3 ส่วน คือ Idea (ความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ) Somebody (คนธรรมดา ๆ ที่มีความสามารถ) แล้วก็ Nostalgia (เรื่องราวย้อนอดีตอันอบอุ่น)” แล้วทิ้งท้ายด้วยการประกาศตัวว่า a day เป็น “นิตยสารอัลเทอร์เนทีฟเล่มใหม่ของเมืองไทย”
แม้ว่าในความจริง มีนิตยสารที่หมางเมินกับปัญหาและความไม่เป็นธรรมในสังคม ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่รับใช้ทุนนิยม,บริโภคนิยม,วัตถุนิยมอย่างสุดขั้วกว่า summer หรือ a day อีกตั้งมากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงนิตยสารแฟชั่นที่เต็มไปด้วยหน้าโฆษณาและยัดเยียดให้คนมุ่งสนใจแต่ความสวยงาม นิตยสารผู้หญิงหัวนอกที่เน้นเรื่องวิธีจับผู้ชายและสร้างเสน่ห์ให้ตัวเอง นิตยสารวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเพ้อฝัน นิตยสารท่องเที่ยว นิตยสารอาชญากรรม นิตยสารเรื่องแปลกพิศดาร ฯลฯ แต่นิตยสารเหล่านี้ก็ยังไม่น่ากลัวหรืออันตรายเท่านิตยสาร “ทางเลือก” ที่ผลิตออกมาจากสมองของผู้ที่มีจิตใจดี มองโลกงดงาม ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และนิยมการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจอย่างพวก positive thinking magazine เพราะอย่างน้อยนิตยสารเหล่านั้นก็พูดถึงเรื่องไร้สาระทั้งหลายอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา อีกทั้งสังคมก็พอจะ “เท่าทัน” ถึงพิษภัยของมันกันบ้างแล้ว เช่น พอจะมองออกว่านิตยสารพระเครื่องเป็นเรื่องงมงาย, นิตยสารเรื่องแปลกแหกตาคนอ่าน, การ์ตูนมอมเมาเยาวชน, นิตยสารประเภทภาพอาชญากรรมปลูกฝังความรุนแรง, นิตยสารแฟชั่นหลอกล่อให้คนซื้อสินค้าและสร้างนิสัยฟุ่มเฟือย ฯลฯ ซึ่งแม้แต่ a day เองก็ยังเคยประณามสื่อทำนองนี้ไว้ว่า “…สื่อส่วนใหญ่ในประเทศนี้มักจะไปให้ความสำคัญกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราจึงมักจะได้เห็นคนที่ทำอะไรห่วยแตก ไร้สาระ เช่น กินอะไรประหลาด ๆ น่าขยะแขยงหรือมีพฤติกรรมจี้เส้นมาลงหนังสือออกทีวีอยู่เสมอ” (คอลัมน์ Think Positive ; a day, number 2, October 2000.)
สาเหตุที่นิตยสารอย่าง a day และ summer น่ากลัวกว่า ก็เพราะว่ามันบดบังอันตรายของตัวเองไว้อย่างมิดชิด ด้วยถ้อยคำและวิธีคิดที่ดูเหมือนมีสาระและไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร คนกลุ่มนี้ฉลาดพอที่จะย้อมกิเลสหยาบๆ ที่ถูกนำเสนอในนิตยสารเล่มอื่นๆ ให้กลายเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่ละเมียดละไมเสียจนดูเหมือนไม่เป็นกิเลส เช่น เรียกกิจกรรมการท่องเที่ยวของตนเพื่อเสพธรรมชาติ เสพน้ำใจผู้คนบนรายทางเสียสวยหรูด้วยคำว่า การเดินทาง-แสวงหาตัวตน-ค้นหาตัวเอง-ทำตามความใฝ่ฝัน ทำให้คนไม่คิดจะตั้งคำถามกับการท่องเที่ยวและมองไม่เห็นว่า การท่องเที่ยวนั้น ที่จริงแล้วก็เป็นแค่การบริโภคอย่างหนึ่งของชนชั้นกลาง ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศและผู้คนของโลกที่พวกเขาพากันไปเหยียบเล่น
และถึงข้อเขียนใน summer และ a day จะมีคำว่า สิ่งใหม่ๆ, ล้มล้างระบบเก่า, ขบถ, แหกคอก, แตกต่าง, กล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ ๆ ฯลฯ อยู่เต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้หมายถึงความต้องการเปลี่ยนแปลง/ล้มล้างระบบที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ในสังคมของเรา แม้จะไม่เลวร้ายถึงขนาดหยิบมาใช้เพื่อความเท่ห์เฉย ๆ แต่การขบถ/แหกคอกของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อส่วนรวม หากแต่เกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการทำให้ชีวิตของตนมีสีสัน หาความสนุกสนานให้กับชีวิตน้อย ๆ ของปัจเจกชนในโลกยุคใหม่ หรือไม่ก็เพียงแค่อยากทำให้ตัวเองแตกต่างพอที่จะกลายเป็นคนโดดเด่น เป็น “somebody” ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ก็เหมือนกันไปหมดเท่านั้น
สรุปว่าการมองโลกในแง่ดีของพวกเขา แท้ที่จริง คือ การเลือกรับรู้แต่ด้านที่สวยสดงดงามของสิ่งต่าง ๆ แล้วปฏิเสธที่จะใคร่ครวญถึงปัญหา-ความขัดแย้งในสังคม พวกเขามีความเห็นใจให้กับผู้ทุกข์ยากก็จริง แต่ไม่เคยคิดจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องแก้ปัญหา ไม่แม้แต่จะมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนอีกเป็นจำนวนมากต้องเดือดร้อน หรือไม่ก็มองความโศกเศร้าของคนเหล่านั้นว่าเป็นความเศร้าที่…งดงาม
นอกจากการปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาสังคมโดยทำเป็นไม่รับรู้ว่าสังคมมีปัญหาแล้ว นิตยสารแนวนี้ – โดยเฉพาะ a day ยังสวมบทบาททาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของลัทธิทุนนิยม/บริโภคนิยม ทั้งยังเป็นตัวสืบทอดค่านิยม และวิถีชีวิตอันฟุ้งเฟ้อของชนชั้นกลางอย่างขยันขันแข็งอีกด้วย เห็นได้จากข้อเขียนบางประโยคใน a day ซึ่งจงใจบ่งบอกถึงความเป็นนิตยสารของชนชั้นกลางอย่าง… ประภาสมองถ้วยกาแฟ… ปราบดายกกาแฟขึ้นดื่มอีกครั้ง… ปราบดาบิบัตเทอร์เค้กส่งเข้าปากคำใหญ่…ฟลอเรนซ์ หยิบช็อคโกแล็ตเค้กกินอย่างเอร็ดอร่อย…
แต่นั่นก็ยังไม่น่าหนักใจเท่ากับการที่นิตยสารประเภทนี้ให้ความสำคัญแต่กับความคิดสร้างสรรค์ ความเก๋ไก๋ แหวกแนวและขำขัน โดยไม่ใส่ใจเลยว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์กับใครหรือทำให้สังคมดีขึ้นบ้างหรือไม่ เป็นต้นว่า summer นำเสนอภาพช้างบนท้องถนนในกรุงเทพฯ พร้อมกับตีตารางเปรียบเทียบความเหมือน-ต่าง ระหว่างรถกับช้างอย่างตลกขบขัน – รถยนต์กับช้างใช้เบรก ABS เหมือนกัน แต่ของรถยนต์เป็นแอนตี้เบรกซิสเท็ม ส่วนของช้างเป็นแอนตี้บาทาซิสเท็ม, รถยนต์ขับถ่ายออกมาเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ช้างขับถ่ายเป็นปุ๋ยเกษตรชั้นดี สุดท้าย summer สรุปอย่างอารมณ์ดีว่า “…หรือว่าช้างที่เคยเป็นสัญลักษณ์อยู่บนธงชาติไทยจะกลายมาเป็นพาหนะที่เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ปี 2000” (summer ; issue 2, January 2000.) ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับปัญหาช้างในเมืองที่หลายฝ่ายกำลังระดมสมองเพื่อหาทางออกกันอยู่
การนำปัญหามาเล่นตลกเช่นนี้ นอกจากจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังอาจส่งผลให้ผู้อ่านชินชาหรือไม่จริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายรอบตัว กระทั่งมองไม่เห็นว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นปัญหาอีกด้วย
แต่ที่ร้ายไปกว่าสิ่งที่นิตยสารแนวนี้กระทำกับปัญหาช้างในเมือง น่าจะเป็นเรื่องของการที่ความคิดสร้างสรรค์และเรื่องเก๋ ๆ ที่ถูกนำเสนอนั้นล้วนแต่ไปไม้พ้นจาก “กระแสหลัก” ทั้งสิ้น เช่น การที่ a day เลือกสัมภาษณ์กลุ่มหนุ่มสาว 5 คนที่กำลังเป็นดาวรุ่งอยู่ในวงการโฆษณา ซึ่งแม้ว่าผลงานของเขาและเธอจะโดดเด่นจริง แต่วงการโฆษณาก็เป็นตัวร้ายที่ยั่วยวนล่อหลอกให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย บริโภคเกินความจำเป็นอยู่ดี การที่ a day เสนอเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ ย่อมแสดงว่าเขาสนับสนุนการทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนควักเงินซื้อสินค้าของพวกนักโฆษณานั่นเอง
Today Special ใน a day เป็นอีกคอลัมน์หนึ่งที่ประกาศความเป็นสาวกลัทธิบริโภคนิยม สิ่งของที่เขาหยิบมาแนะนำด้วยเหตุผลที่ว่ามันกำลัง “In Trend” นั้นล้วนอยู่ในวัฒนธรรมบริโภคกระแสหลักโดยนิตยสารที่ประกาศตัวว่าเป็น “ทางเลือก” อย่าง a day นำเสนอด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ขัดเขินแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็น เพลงชุดใหม่ของ Oasis, วิดีโอเกมเรื่อง Final Fantasy IX, ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่สยามสแควร์ชั้น 1 , หนังเรื่องใหม่ของจิม แครี่, ปลาและปลาหมึกแผ่นอบกรอบยี่ห้อเบนโตะและเว็บไซต์บันเทิงของแกรมมี่ ส่วนสุดยอดความคิดสร้างสรรค์ที่เจ้าของคอลัมน์ Think Positive เลือกนำเสนอก็หนีไม่พ้นโฆษณาซ้อสทาบาสโก้และโฆษณาแมคโดนัลด์ฝีมือเอเจนซี่ไทยซึ่งได้รับรางวัลในการประกวดโฆษณาที่ฝรั่งเศส, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุด — เม้าส์ไร้สาย สุดยอดความคิดสร้างสรรค์อันสุดท้ายได้แก่ แคมเปญล่าสุดของกาแฟสตาร์บัคส์ คือ สมุดสะสมตราปั๊มเพื่อแลกกาแฟสตาร์คบัคส์ขนาด 200 กรัม ฟรี 1 ถุง
การเสพนิตยสารประเภทนี้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะพวกเขาได้ทำให้โฆษณาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเนื้อหาอย่างสนิทแนบแน่น ตลอดเวลาที่อ่านเนื้อหาใน a day สมองของเราจะบันทึกยี่ห้อสินค้าลงไปโดยไม่รู้ตัว ส่วน summer นั้น ด้วยความที่เน้นความสวยงามในทุกๆ หน้า จึงพิถีพิถันกับการจัดหน้าโฆษณาเสียสวยและกลมกลืนไปกับส่วนอื่น ๆ ของนิตยสารจนคนไม่รู้ว่าเป็นหน้าโฆษณา กรณีเช่นนี้ ผู้เขียนคิดว่าไม่ต่างจากการที่รัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท. หรือ กฟผ. แอบแฝงโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กรของตัวเองมาในรูปของเนื้อข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันหรือนิตยสารบางฉบับนั่นเอง
อันตรายประการสุดท้ายของนิตยสารกลุ่มนี้ (ซึ่งเป็นอันตรายที่น่าหวาดกลัวที่สุดสำหรับผู้เขียน) ก็คือ พวกเขามักจะใช้รสนิยมสาธารณ์ชุดหนึ่งเข้าสยบความคิดเห็นที่แตกต่างและข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อแนวคิดหรือสิ่งที่พวกเขาทำ กล่าวคือ ยิ้มรับคำวิจารณ์เหล่านั้นอย่างอ่อนโยน รับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างด้วยเมตตาและจิตใจอันกว้างขวางยิ่งนัก แล้วพวกเขาก็จะเอ่ยอย่างชื่นชมว่า มันเป็นความเห็นแตกต่างที่…งดงาม น่าซาบซึ้งใจเสียนี่กระไรที่มีคนติชม เป็นการติชมอันเนื่องมาจากความรัก ความปราถนาดีต่อกันโดยแท้
กระบวนการอันแยบยลนี้เองที่สยบคำวิพากษ์วิจารณ์ให้เงียบไปในเวลาอันรวดเร็ว — ซึ่งคงไม่เว้นแม้แต่บทความนี้
อย่างไรก็ตาม “อันตราย” เพียงเท่านี้ก็มากพอแล้ว ที่ผู้เขียนจะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการหลีกหนีปัญหา / ความขัดแย้งในสังคม แล้วเลือกมองแต่ความน่ารื่นรมย์อย่างที่ summer และ a day ทำการปลูกดอกไม้เพื่อแต่งแต้มโลกให้สวยงามไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ดอกไม้ไม่อาจเติบโตขึ้นได้จากดินเลว อากาศเป็นพิษ น้ำที่เน่าเสีย ถ้ารักจะปลูกดอกไม้จริงต้องลงแรงปรับปรุงดินเสียใหม่ รวมทั้งกำจัดต้นเหตุที่ทำให้น้ำและอากาศเสีย เมื่อปัจจัยต่างๆ ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้สะอาดสมบูรณ์แล้วต่างหาก ดอกไม้จึงจะโตวันโตขึ้นและเบ่งบานอยู่เนิ่นนาน
ผู้เขียนมั่นใจว่า คนปลูกดอกไม้รู้เรื่องนี้ดี แต่พวกเขาจงใจละเลยมัน เพราะการเปลี่ยนดินเลวให้เป็นดินดีมันเหนื่อยยากกว่านัก หรือเอาเข้าจริง พวกเขาก็ไม่ได้อยากให้โลกหรือสังคมมันดีขึ้นหรอก เขาจงใจหล่อเลี้ยงระบบแห่งความไม่เป็นธรรม และส่งเสริมให้คนวนเวียนอยู่แต่กับการบริโภคอย่างไร้สาระต่อไปด้วยซ้ำ เพราะถ้าปัญหาสังคมหมดไป จะหาผู้ทุกข์ยากและรอยยิ้มอันหม่นเศร้าที่ไหน ให้พวกเขาได้แสดงความเห็นอกเห็นใจหรืออ่อนไหวไปกับมัน?
ธดา
เว็บไซต์ Thaitopic.com ปี 2544
จาก อะเดย์ กับ ซัมเมอร์ – aday & summer ขอเสนอ โอเพ่น และ ไทยคูน – open & Thaicoon (สมจุ้ย เจตนาน่าสนุก)
Click!! ตรงนี้