…หลายปีก่อน
…ก่อนดวงอาทิตย์จะแผดแสงกล้า รถมอเตอร์ไซค์พาผมกับเพื่อนเลียบสันเขา… ขึ้นสู่ดอยตุงทางบางช่วงยังเป็นถนนลูกรัง
เราใช้เส้นทางผ่านขึ้นทางเหนือ ลัดลงไปยังหุบเขาเพื่อนำระยะเข้าสู่พิกัดด้าน ตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเป้าหมายหลัก ของการเดินทาง…. แวะหาคนที่เพื่อนผมรู้จักแต่ก็ไม่เจอ.. มีแต่กระต๊อบสร้างใหม่ กองหนังสือและเครื่องนอน
…ทางเข้าหมู่บ้านมีชุดเคลื่อนที่ของอนามัย.. ตั้งเสาวิทยุสื่อสารขึ้นมองเห็นไกลพอสมควร ทักทายพอเป็นเรื่องราว เราก็เดินทางเข้าสู่ในหมู่บ้าน เพิงชั่วคราวกึ่งถาวร เป็นที่สอนหนังสือของครู ตชด. 2 นายประจำการ ข้างในออกจะอับแสงเล็กน้อย กระดานเขียนชื่อนักเรียนชาวเขาประมาณ 8-9คน เขียนด้วยชอล์กสีเหลือง
…ที่พักของ ครู.ตชด. อยู่ในนั้นพร้อมเสร็จ ตะวันบ่ายหลังเข้าสำรวจพื้นที่ตั้งหมู่บ้านเสร็จ เพื่อนก็ขอเข้าพักกับบ้านมุงคาของชาวเขาหลังหนึ่งอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก มีหมาอีกหนึ่งตัว..ก็นอนอยู่บนบ้านด้วยกัน ได้ที่เก็บสัมภาระแล้ว.เย็นมาเราก็ไปแวะคุยกับพี่ ตชด. ตะวันอำลาฟ้าแล้ว ชาวบ้านที่ไปไร่เดินทางกลับมา ส่วนมากเป็นหญิง วัยกลางคนแบก “ขะแจะ” (ตระกร้าไม้ที่พาดไว้กับด้านหลัง) ใส่ฟืนมาคนละสิบกว่าท่อน คุยกันมาเสียงเบา ๆ
ส่วนเด็กหนุ่ม ๆ สักกลุ่ม..แบกจอบ..หยอกเล่นกันมา บางคนหิ้ววิทยุฟังภาษาชาวเขาจากรายการที่จัด โดยสถานีของ กรป. กลางสถานีอยู่ที่อำเภอแม่จัน เราเห็นชาวเขาแต่ไกลตามทางเดินขึ้นมาบ้านพัก ซึ่งเป็นทำเล (ชัยภูมิ) ของการวางฐานที่มั่นในยุทธศาสตร์ มีชื่อว่า “พื้นที่สูงข่ม”
..เด็กหนุ่มในหมู่บ้านทักทาย ตชด. ด้วยความคุ้นเคยแล้วแยกย้ายเข้าบ้าน ใครที่คุ้นเคยกับการเฝ้าระว้งมักรู้กันว่าเราต้องมองสภาพความมืดที่เริ่มเข้ามาทีละน้อย จนมืดสนิทให้ชินตาทุกวัน แล้วเราจะมองเห็นที่มืดคุ้นเคยกว่าคนอื่นนั้นหมายถึงการอยู่รอด
…โชคดีเป็นของเราอีกครั้งที่คืนนี้มีแสงจันทร์ น่าจะราว ๆ 13-14 ค่ำข้างขึ้น ผมและเพื่อนต้องเดินทางกลางคืนด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ไปยังอีกหมู่บ้านและเดินทางกลับ หมู่บ้านที่เราไปคืนนี้มีพิธีแต่งงาน แต่ภาพไม่ได้พร้อมสรรพแบบที่เราเคยเห็นในที่ต่าง ๆ หรอกครับ
หมู่บ้านอยู่ในหุบเขา ติดขอบชายแดน ขณะที่เราซ้อนรถมาบนสันเขาก่อนเขาหมู่บ้าน มองลงมาคะเนว่ามีซักสิบกว่าหลังคา ภาพนั้นจำมาจนถึงบัดนี้ แสงจันทร์ที่ส่องลงมา ผ่านลงที่ภาพของหมู่บ้านและเราก็อยู่มุมสูงค่อยลัดเลาะลงไปตรงนั้น อมตะแห่งภาพ จริง ๆ ครับ
บ้านสองหลังติดกัน คนราวยี่สิบคนอยู่ข้างบนบ้างลานบ้านด้านล่างก็มี เราเข้าไปแนะนำตัว พ่อหลวงบ้านชวนขึ้นไปร่วมวงบนบ้าน บ้านไม้ไผ่ จุคนสักสิบกว่าคนแบ่งเป็นสองวง มีขันโตกหวายสีทึบๆ วางกับข้าว พ่อแม่เจ้าสาวแสดงความดีใจที่เราเข้ามาคืนนี้ คู่แต่งงานอายุราวใกล้ยี่สิบนั่งติดกัน บางครั้งวงข้างก็หยอกล้อกัน มื้อนี้อาหารส่วนมากปรุงจากเนื้อหมู ซึ่งนานครั้งจะมีกินกัน
เหล้าข้าวโพดร้อนดีกรี..เสริมมิตรภาพเรากระชับขึ้นอีก พ่อหลวงเล่าอดีตที่ข้ามมาตั้งรกรากในผืนดินไทยผ่านมาราว สามรุ่นคน ทางเราก็เข้าไปนั้งในความรู้สึกเขาได้แล้วคืนนี้ บทเพลงแห่งความสุขทั้งภาษาชาวเขาและเพลงพื้นเมือง ต่างช่วยกันขับร้องกันอย่างสนุกสนาน คู่แต่งงานยกแก้วในคืนแห่งความสุขด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ต่างหัวเราะกันทั่ว
…บทเพลงส่งลาคืนนี้สำหรับการเข้ามวลชนของเรา พ่อหลวงบ้านพูดขอบคุณและส่งท้ายด้วยเพลงที่มีเนื้อหาที่กินใจ ท่อนสุดท้าย คนในหมู่บ้านต่างพร้อมใจกันร้อง ด้วยเสียงอันดังว่า “เรารักสมเด็จย่า…เรารักดอยตุง..เรารักสมเด็จย่า..เรารักดอยตุง”
คำคำนี้ อยู่ในใจผมมาตั้งแต่บัดนั้น และผมเชื่อในความเป็นศิริมงคลของเรื่องที่ได้กล่าวมา…
…ว่าจะหาโอกาสเขียนให้อ่านหลายครั้งหลายที่แต่ก็ มีอันคลาดกันทุกที่
ขอบคุณครับ
ทางผ่าน
ยินดีครับ…
เขียนดี ๆ เขียนอีกนะครับ
จะรออ่าน…
ขอบคุณมากครับ คุณ Annop ที่ให้กำลังใจในงานเขียน
รู้สึกดีค่ะ ถึงจะต้องระแวดระวังภัยตลอดเวลา แต่ก็เป็นชีวิตที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย มีความอบอุ่นและปลอดภัยภายใต้ศูนย์รวมใจเดียวกัน
“ใครที่คุ้นเคยกับการเฝ้าระว้งมักรู้กันว่า.เราต้องมองสภาพความมืดที่เริ่มเข้ามาทีละน้อย จนมืดสนิทให้ชินตาทุกวัน..แล้วเราจะมองเห็นที่มืดคุ้นเคยกว่าคนอื่น..นั้นหมายถึงการอยู่รอด..”
ก็เพิ่งจะเข้าใจนี่เองว่า ทำไมพวก ตชด. เขาถึงสู้รบกันได้ในเวลากลางคืน ขอบคุณค่ะ
อืม มันเป็นบทความที่ดีมากนะคุณ ทางผ่าน …
เวลาอาจจะสั้น แต่เราต้องทำให้ดีที่สุด…
แล้วคุณทางผ่านอยู่ที่นั่นป่ะค่ะ อยากรู้ง่ะ
ช่วยตอบหน่อย
ผมก็ “คนขอบชายแดนเหมือนกันครับ” เข้าใจความรู้สึกนี้ดี