แฟนฟอร์มูล่าวันคนไหนจำกันได้บ้างครับสำหรับฤดูกาล 2019 ที่จู่ ๆ ก็มีนักขับหน้าใหม่สัญชาติอังกฤษเข้ามาประเดิมสนามแข่งขันพร้อมกันถึง 3 คน ได้แก่ จอร์จ รัสเซล (George Russell) แชมป์ฟอร์มูล่าทูประจำปี 2018 แลนโด นอร์ริส (Lando Norris) รองแชมป์ และ อเล็กซ์ อัลบอน (Alex Albon) อันดับสามที่เข้าแข่งขันภายใต้ธงไตรรงค์ไทย ในตอนนั้น มีการตีข่าวกันอย่างหนาหู โดยเฉพาะจากสื่ออังกฤษเจ้าประจำครับว่า ในวันหนึ่ง นักขับหน้าใสทั้งสามคนนี้จะก้าวขึ้นมากุมบังเหียนและครองวงการเอฟวัน เรามาดูกันดีกว่าว่า ย่างเข้าสู่ปีที่ 5 แต่ละคนมีผลงานกันยังไงบ้าง และคนไหนที่อยากจะเดิมพันโอกาสของนักขับทั้งสามคนในฤดูกาลนี้ ก็สามารถเดิมพันผ่านเว็บไซต์ 12bet เอเชีย ได้เลยครับ

รัสเซล: ทายาทของแฮมิลตันที่คู่ควร?

จอร์จ รัสเซล (เมอร์เซเดส) ชนะ 1 โพล 1 โพเดียม 10

ในบรรดานักขับทั้งสามคนนี้ จอร์จ รัสเซลได้รับการอวยแบบเกินหน้าเกินตาเพื่อน ๆ ไปไกลครับ ไม่ว่าจะเป็นการสามารถคัดเลือกชนะจอมเก๋าจากโรแบร์ต คูบิกา ในรถวิลเลียมส์สุดห่วยของปี 2019 ได้ในปีแรก ได้ขับให้เมอร์เซเดสในรายการ Sakhir Grand Prix 2020 แทนที่ลูอิส แฮมิลตันที่ติดโควิด ขึ้นโพเดียม “ครั้งแรก” ในรายการ Belgian Grand Prix 2021 ก่อนจะคว้าชัยชนะครั้งแรกในรายการ Sao Paolo Grand Prix 2022 แถมทำคะแนนชนะแฮมิลตันในรถ W13 ได้อีก หลังจบฤดูกาล 2022 ก็มีหลายคนเชื่อครับ ว่ารัสเซลมีโอกาสเป็น “แชมป์โลก” ได้ในอนาคตหลังหมดยุคของเวอร์สตัพเพน

แต่พอเข้าฤดูกาล 2023 มาเนี่ย แฮมิลตันที่หมดบทบาทเป็น “หนูทดลอง” ให้กับทีมและกลับมาจริงจังกับการแข่งขัน ก็สามารถทำผลงานได้ดีกว่ารัสเซลอย่างชัดเจนครับ รั้งอันดับ 3 ของตารางนักขับ ในขณะที่รัสเซลตามหลังนอร์ริสอยู่ที่อันดับ 7 ไปแล้ว ประกอบกับชื่อเสีย (ง) ของรัสเซลที่ชอบบ่น ขับอันตราย และเห็นแก่ตัวในจังหวะที่ไม่เหมาะสม ทำให้ความนิยมของเขาเริ่มลดน้อยลง

แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง รัสเซลก็คืออนาคตระยะยาวสุดขีดของทีมจากแบร็คลีย์เจ้าของแชมป์โลก 8 สมัยซ้อนอย่างหาข้ออ้างอื่นไม่ได้ และเขาเองก็ยังได้รับการมองว่า มีโอกาสคว้าแชมป์โลกมากที่สุดในบรรดานักขับรุ่นใหม่อยู่ดีครับ

นอร์ริส: สถานีสุดท้ายก่อนทางแยกสำคัญ?

แลนโด นอร์ริส (แมคลาเรน) โพล 1 โพเดียม 11

เจ้าพ่อสายตัวตลก แลนโด นอร์ริส ลงแข่งขันให้กับแมคลาเรนมาแล้วเกือบ 100 ครั้ง เจอกับเพื่อนร่วมทีมระดับไม่ขี้เหร่ซักคน ไม่ว่าจะเป็นคาร์โลส ไซนซ์ ผู้ผงาดเรดบูลในปี 2023 แดเนียล ริคาร์โดที่นอร์ริสเล่นงานจนตอนนี้ยังกลับมาไม่ได้จริง ๆ และออสการ์ พิอาสตรี ดาวรุ่งหน้าใหม่ผู้กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการเอฟวัน แต่นอร์ริสก็สามารถทำผลงานได้เหนือกว่าทั้งสามคนมาโดยตลอด ทั้งยังคอยท้าทายทีมหัวตารางทั้ง 3 อยู่เป็นประจำทั้งที่รถของแมคลาเรนก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น

แต่จุดสำคัญของนอร์ริสที่ไม่เหมือนกับอีกสองคนคือ เขาขับให้กับทีมทีมเดียวมาตลอดระยะเวลา 4 ปีกว่า ๆ นี้ และก็เริ่มมีคำถามผุดขึ้นมาแล้วว่า ถ้าเกิดแมคลาเรนฟอร์มตกในอนาคต เขาจะยอมทนขับให้ทีมไปอีกนานแค่ไหน? เรดบูลเองก็น่าจะกำลังโละเซร์คิโอ เปเรซทิ้ง และต่อให้ได้ริคาร์โดกลับไปขับ เขาก็คงเป็นได้มากที่สุดเพียงตัวเลือกในระยะกลาง หรือถ้าแฮมิลตันวางมือ เขาจะยอมร่วมทีมและแข่งขันกับรัสเซลที่เมอร์เซเดสหรือเปล่า

นอร์ริสต้องเริ่มถามตัวเองแล้วว่า เขาอยากจะเป็นเบอร์หนึ่งที่เเมคลาเรนต่อไป แต่อาจจะชนะแค่ไม่กี่สนาม หรือ เอาความเป็นเบอร์หนึ่งไปเสี่ยงเพื่อแลกกับโอกาสเป็นแชมป์โลก

อัลบอน: โอกาสดึงทีมใหญ่ครั้งสุดท้าย?

อเล็กซ์ อัลบอน (วิลเลียมส์) 2 โพเดียม

เมื่อเทียบกับรัสเซลและนอร์ริสแล้ว ผมต้องบอกตามตรงครับว่าอัลบอนดวงซวยที่สุด เพราะถึงแม้จะทำผลงานกับโทโร รอสโซได้ดีมาก ๆ ในช่วงครึ่งปีแรกของฤดูกาล 2019 จนได้เลื่อนขั้นไปขับให้เรดบูลชุดใหญ่แทนปิแอร์ แกสลี แต่อัลบอนก็ต้องเผชิญหน้ากับปีศาจความเร็วที่ชื่อแม็กซ์ แวร์สตัพเพน ในร่างสุดท้ายก่อนจะเบิกเนตรโชว์ฟอร์มชิงแชมป์โลก โดยอัลบอนมีสถิติในรอบคัดเลือกแพ้แวร์สตัพเพนไปอย่างราบคาบที่ 1 ต่อ 25 (1 ครั้งนั้นที่ Italian Grand Prix 2019 เเวร์สตัพเพนไม่ได้เข้าร่วมคัดเลือกด้วยซ้ำ) จนเขาถูกตะเพิดพ้นทีมเรดบูลเพื่อเปิดทางให้กับจอมเก๋าอย่างเปเรซหลังจบฤดูกาล 2020

อัลบอนห่างวงการเอฟวันไป 1 ปีคือฤดูกาล 2021 ที่ทางเรดบูลส่งเขาไปขับในรายการ Deustche Tourenwagen Masters (DTM) ที่เยอรมนี ก่อนจะได้รับโอกาสจากวิลเลียมส์ในปี 2022 มาแทนที่รัสเซลที่ย้ายไปเมอร์เซเดส ที่วิลเลียมส์ อัลบอนสามารถสถาปนาตัวเองเป็นเบอร์หนึ่งอย่างเด็ดขาดของทีมได้จนถึงปัจจุบัน ด้วยเพื่อนร่วมทีมที่ไร้พิษสงทั้งลาติฟีและซาร์เจนต์ อัลบอนทำคะแนนให้วิลเลียมส์ลอยลิ่วอยู่ในอันดับ 7 ของตารางผู้ผลิต และมีโอกาสลุ้นเงินรางวัลก้อนใหญ่ที่สุดในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว

หลายคนมองว่าอัลบอนยังมีโอกาสได้ขับให้กับทีมระดับหัวตารางอีก แต่หลายคนก็มองว่าอัลบอนไม่ได้มีพรสวรรค์หรือทัศนคติที่แข็งแกร่งพอจะรับมือกับความกดดันในการขับให้กับทีมหัวตาราง แต่ถึงกระนั้น การเป็นเบอร์หนึ่งของวิลเลียมส์ที่ดูมีอนาคตภายใต้หัวเรือใหม่ ก็อาจจะไม่เลวไปซะทีเดียว

18 ตุลาคม 2566