กุหลาบ สายประดิษฐ์

“ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ด้วยความมุ่งหมายที่จะปรับฐานะของมนุษย์ให้ได้ระดับอันทุกคนควรจะเป็นได้ ข้าพเจ้าจะได้รับความเชื่อถือจากเรื่องนี้สักเพียงไหน ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่านทั้งหลายจะพิจารณาเรื่องนี้จะต้องกล่าวพรรณากันอย่างติดจะยืดยาว จึงขอย้อนเอาเรื่องตอนต้น ซึ่งได้เคยลงพิมพ์ไว้ในหนังสือพิมพ์ ไทยใหม่ มาตรวจแก้ไขปรับปรุงขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้เรื่องราวติดต่อกันไปเป็นอันดี”
กุหลาบ สายประดิษฐ์

1. ความซื่อตรงคือความจริง ความจริงคือความซื่อตรง

“มนุษยภาพ” หรือ “ความเป็นมนุษย์” หรือ “ความเป็นคน” ควรวางอยู่บนลักษณะอย่างไร ชาวโลกทั้งหลายแม้ที่ได้บรรลุอารยธรรมแล้ว ก็ยังมีความเห็นแตกต่างไม่ลงรอยกัน ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก เพราะพลโลกทุกคนย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่อย่างครบถ้วน ในต่างประเทศเขาสนใจกันเป็นที่ยิ่ง ประหลาดที่ในบ้านเราเกือบจะไม่มีการนำพากันเสียเลย ตัวเราเป็นใครมีส่วนอยู่มากน้อยเพียงไรในความเสื่อมความเจริญของประเทศชาติ เรามีสิทธิอะไรบ้าง และควรใช้สิทธินั้นได้ภายในขอบเขตเท่าใดที่นิติธรรมของประเทศอนุญาตให้ พวกเราโดยมากไม่ทราบ และไม่พยายามที่จะทราบ ข้าพเจ้าเข้าใจไม่ได้เลยว่า เหตุใดพลเมืองสยาม จึงพาความสนใจของเขาข้ามเขตแดนปัญหาสำคัญอย่างอุกฤษฎ์นี้ไปเสีย บางทีจะเป็นด้วยเขามัวเป็นห่วงท้องของเขามากเกินไป ถ้าเป็นจริงดังนี้จะน่าอนาถใจเหลือเกิน

กล่าวกันว่าข้ารัฐการจีนนั้น ก่อนจะเปิดการประชุมว่าด้วยข้อราชการสิ่งใด ย่อมจะนำเอาภาพของ ท่านหมอซุนซัดเซน (Sun Yat-Sen ค.ศ. 1866-1925 ผู้อภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองของจีน และผู้นำความคิดเรื่อง ลัทธิไตรราษฎร ที่มีแนวเอียงข้างไปทางสังคมนิยมประชาธิปไตยมาสู่สังคมจีน – บก. สุชาติ สวัสดิ์ศรี) มาประดิษฐานไว้กลางโต๊ะ แล้วก็พากันลุกขึ้นคำนับครบ 3 ครั้งจึงจะเริ่มเรื่อง และพวกพราหมณ์ในเมื่อจะสาธยายเวท ย่อมจะกล่าวสดุดีคุณของพระพิฆเนศเป็นปฐมฤกษ์เสียก่อน อันว่าการเขียนเรื่องมนุษยภาพนี้ ได้ตั้งมโนปรารถนาที่จะเขียนด้วยความรู้สึกอันจริงใจ และมั่นหมายให้ท่านทั้งปวงอ่านด้วยความรู้สึกชนิดเดียวกัน แม้จะต้องขัดกับหลักความคิดเห็นของผู้อื่น ข้าพเจ้าก็พอใจเพราะฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นควรจะกล่าวในความจริงให้เป็นที่ยึดมั่นทั้งของผู้เขียนและผู้อ่านเป็นประเดิมเสียก่อน

สไมล์ (ซามูเอล สไมลส์ – วาด รวี) เขียนในหนังสือของเขาว่า ความจริงและความซื่อตรงจะต้องไปด้วยกันเสมอ ความซื่อตรงคือความจริง และความจริงก็คือความซื่อตรง (Truthfulness is at the foundation of all personal excellence. It exhibits itself in conduct. It is rectitude truth in action, and shines through every word and deed. จากหนังสือ Character ของ Samuel Smiles – วาด รวี) คุณธรรมอันนี้จัดว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของคนทั่วไป เพราะบุคคลใดที่ถือความจริงหรือความซื่อตรงประจำใจ แม้เป็นผู้รับใช้ ก็ย่อมเป็นที่อุ่นใจของหัวหน้า และแม้เป็นหัวหน้าก็ย่อมเป็นที่เชื่อมั่นของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ความจริงเป็นสิ่งแรกที่ลูกผู้ชายทุกคนต้องการ ความจริงเป็นหัวใจของบ่อเกิดแห่งนิติธรรมต่างๆ เป็นหัวใจของความบริสุทธิ์และของความอิสสระ

การอ่านหรือฟังความเห็นของบุคคลต่างๆ ความจริงและความซื่อตรงยิ่งจำเป็นหนักขึ้น คนเราในทุกวันนี้ โดยที่เห็นแก่ท้องจนเกินไป ได้ยอมละเสียซึ่งคุณธรรมดังกล่าวแล้ว ความเห็นแก่ตัวเองทำให้เราสมัครเชื่อถือในสิ่งที่ปราศจากเหตุผลและเหลวไหล ในบางขณะเราถึงกับเชื่อโดยลงทุนด้วยการลวงตัวเราเองอย่างน่าบัดสี เราไม่ยอมสู้หน้ากับความจริง นี่แหละ ในที่สุดได้ทำให้เราขาดเอสเซนซ์ (Essence = แก่น สาร จุดสำคัญ สาระสำคัญ เนื้อแท้ – บก.) ของความเป็นมนุษย์ จนเรากลายไปเป็นประดุจรูปหุ่นซึ่งเคลื่อนไหวได้ด้วยอำนาจของเครื่องยนต์กลไก ท่านผู้อ่านคงจะรู้สึกบ้างในบัดนี้ว่า อิทธิฤทธิ์ของความจริงหรือความซื่อตรงนั้นมีหรือไม่ และมีเพียงไร

ถ้าเราไม่สู้หน้ากับความจริง นั่นแปลว่าเราได้หันหน้าเข้าหาความหลอกลวงหรือโกหกตอแหล ความหลอกลวงไม่เพียงแต่จะย้อมให้เราเป็นบุคคลที่ปราศจากความซื่อตรงอย่างเดียว ยังซ้ำทำให้เราได้ชื่อว่า เป็นเจ้าขี้ขลาดตาขาวอีกสถานหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงทั้งหมด ยังเป็นภัยน้อยกว่าสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นด้วยความหลอกลวงครึ่งหนึ่งและความจริงอีกครึ่งหนึ่ง

ปลาโต (Plato นักปราชญ์ชาวกรีก ในสมัยยุคก่อนคริสตกาล – บก.) จอมเมธีของโลกมักพูดอยู่เนืองๆ ว่า “ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้า ที่ให้ข้าพเจ้ามาเกิดเป็นคนกรีก ไม่ใช่คนป่า เกิดมาเป็นไทแก่ตัวไม่ใช่ทาส เกิดมาเป็นลูกผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง แต่ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด นั่นคือข้าพเจ้าได้เกิดมาในสมัยของโสเครติส” (Socrates นักปราชญ์ชาวกรีก ในสมัยยุคก่อนคริสตกาล – บก.)

ก็พวกเราทั้งที่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ มีอะไรบ้างที่เราควรจะภูมิใจ และขอบใจในสิ่งศักดิสิทธิ์ที่ได้บรรดาลให้เรามาเกิด เราไม่เคยพบสมัยของโสเครติส หรือคล้ายกับโสเครติส ในบ้านเรามีความภูมิใจแต่เพียงน้อยนิดที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย ซึ่งตามประวัติศาสตร์และพงศาวดารได้แสดงว่าเราเป็นไทแก่ตัว เรามีอิสรภาพทั้งในทางปฏิบัติและในทางความคิด ละม้ายคล้ายคลึงกับอิสรชนทั้งหลายในโลก แต่ข้าพเจ้าให้วิตกว่าในความเป็นไปที่เราได้เผชิญหน้าอยู่ เราได้ทำลายความภูมิใจอันเล็กน้อยอันนั้นเสียแล้ว เราได้ม้วนตัวของเราเข้าไปเป็นทาสความคิดของผู้อื่น นั่นก็เพราะเหตุอย่างเดียว คือเราพากันยอมสละเสีย ซึ่งการสู้หน้ากับความเป็นจริง ถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงได้เห็นอิทธิฤทธิ์ของความจริงกว้างขวางขึ้นอีกหน่อย แต่ท่านอย่าพึ่งพอใจ การกล่าวบูชาคุณความจริงเพียงเท่านี้ ยังไม่พอควรแก่การสักการะ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวต่อไปอีกในวันหน้า

2. ความหลงของมนุษย์ ถือว่าอำนาจทำอะไรถูกหมด

วอลแตร์ (Voltaire ค.ศ. 1694-1778 นามปากกาของนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อจริงว่า Francois-Marie Arouet เป็นนักคิดนักเขียนในยุคก่อนเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส – บก.) ถูกกล่าวว่า “เขาตายไปพร้อมด้วยความจริงและพูดเหมือนดินระเบิดแตก”

บรรดาคนสำคัญของโลกซึ่งชื่อเสียงของเขาไม่รู้จักวันตาย มักมีนิสัยบูชาความสัจจริงยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ปลาโตได้กล่าวสดุดีคุณธรรมข้อนี้ไว้ว่า “ผู้ที่จะอยู่ให้จำเริญ จงยึดมั่นอยู่ในความจริง” อนึ่ง ในการกล่าวขวัญถึง ลินคอล์น (Abraham Lincoln ค.ศ. 1809-1865 ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ผู้ประกาศเลิกทาสจนเป็นต้นเหตุของสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ) ได้มีผู้เขียนว่า “เขาอยู่ เขาทำงาน และเขาตายเพื่อความจริงและความยุติธรรม แม้บางทีโชคของเขาก็ไม่งาม” และวอลแตร์อีกผู้หนึ่งซึ่งมีผู้กล่าวถึงเขาว่า “เขาตายไปพร้อมด้วยความจริง และพูดเหมือนดินระเบิดแตก”

ขอให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องเก่าแก่ให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เมื่อ เรกุลุส (Marcus Atilius Regulus แม่ทัพชาวโรมัน ยุคเมื่อปลาย 250 ปีก่อนคริสตกาล – บก.) ชาวโรมันผู้เป็นเชลยของชาวคาร์เทยีเนียนได้ถูกส่งมายังกรุงโรม ภายใต้ความคุ้มครองของคณะฑูตเพื่อเจรจาขอสงบสงครามกับกรุงโรม ได้มีสัญญาต่อกันว่า แม้ไม่เป็นผลสมปรารถนาของกรุงคาร์เทจ เรกุลุสจะต้องกลับมาเป็นเชลยของเขาดังเดิม เรกุลุสก็กระทำสัตย์สาบานรับรองสัญญานั้น ครั้นมาอยู่ในที่ประชุมของเมืองบิดรมารดา เรกุลุสได้ชักชวนให้ผู้แทนราษฎรโรมัน ขับเคี่ยวสงครามกับกรุงคาร์เทจสืบไป และขอไม่ให้รับสัญญาเพื่อแลกอิสรภาพของชาวโรมันที่ถูกจับไปเป็นเชลย ทุกคนตอบตกลงตามคำขอของเรกุลุส แต่ที่ประชุมรวมท้งหัวหน้าพระองค์หนึ่งได้คัดค้านในข้อที่เรกุลุสจะยอมกลับไปยังเมืองคาร์เทจอีกโดยอ้างว่าเป็นสัญญาที่ถูกบังคับให้กระทำ ใช้ไม่ได้ เรกุลุสกลับตอบว่า “นี่ท่านทั้งหลายจะมาชวนกันทำลายเกียรติยศของข้าพเจ้าเสียแล้วหรือ ข้าพเจ้าทราบว่า ความตายและความทรมานกำลังเตรียมไว้พร้อมแล้วสำหรับข้าพเจ้า ณ เมืองคาร์เทจ แต่สิ่งเหล่านี้หรือจะมาแลกกับความอับอายของการกระทำที่บัดสี หรือแลกกับความเจ็บปวดของหัวใจที่ได้กระทำผิดต่อสัญญาของเขา ร่างกายของข้าพเจ้าเป็นเชลยของชาวคาร์เทจนั้น จริงแล้ว แต่วิญญาณของชาวโรมันยังคงสิงอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าสาบานว่าจะกลับ ข้าพเจ้าต้องทำดังที่ได้ลั่นวาจาไว้” แล้วเรกุลุสก็ได้กลับคืนไปยังเมืองคาร์เทจในฐานะเชลยอีก และได้รับการทรมานตายที่นั่น

นี่แหละ ทำให้เห็นว่าการบูชาความสัตย์จริง ได้มีอยู่อย่างน่าเลื่อมใสในสมัยนับตั้งร้อยปีพันปีมาแล้ว ในทุกวันนี้โลกมีความเจริญรุ่งเรืองเหลือสติกำลังนัก จนดูเหมือนว่าชาวโลกของเรา สามารถถึงกับได้เลื่อนเอาภูมิแห่งเมืองสวรรค์และนรกมารวมไว้ในโลกมนุษย์ทั้งหมด วิทยาศาสตร์ในทางประดิษฐ์ก้าวหน้าไปไกลเพียงใด วิทยาศาสตร์ในทางโกหกตอแหลก้าวหน้าไปไกลถึงเพียงนั้น

ที่กล่าวดังนี้ ใช่จะเป็นการกล่าวอย่างพล่อยๆ หาไม่ได้ บางท่านคงจะได้ยินใครพูดกันบ้างดอกว่า “การโกหกตอแหลที่ได้ทำกันนอกประเทศ คือผลประโยชน์ของประเทศ” นี่แหละเป็นภาษิตของท่านพวกฑูตละ อนึ่ง ตามความนิยมของพวกที่เรียกตัวเองว่าคนชั้นสูง เมื่อเวลามีใครมาหา แม้เขาจะอยู่ในบ้าน ถ้าไม่ประสงค์จะรับแขกเขาจะบอกว่า not at home ความนิยมอันนี้ได้ระบาดกันเข้ามาในบ้านเราบ้างแล้ว เพราะฉะนั้น ที่ข้าพเจ้าว่าวิทยาศาสตร์ของการโกหกตอแหลกำลังก้าวหน้า จึงไม่ใช่เป็นคนพูดอย่างพล่อยๆ

การโกหกตอแหล การหลอกลวง ได้ก่อกำเนิดจากคณะรัฐบาลและหมู่ชนชั้นสูง ดังตัวอย่างที่ได้ยกมากล่าวไว้ข้างต้น และเมื่อคิดถึงว่าอำนาจเป็นสิ่งบรรดาลความนิยม และอำนาจในทุกวันนี้ เราหมายกันถึงเงินกับชั้นสูง ฉะนั้นเราจะไม่เตรียมตัวไว้ตกใจกันบ้างหรือว่า วิทยาศาสตร์ของการโกหกตอแหลจะแพร่หลาย และนิยมกันทั่วไปในบ้านเรา

ข้าพเจ้าว่า อำนาจบรรดาลความนิยมและอำนาจคือเงินกับชั้นสูงนั้นเป็นการแน่แท้ ด้วยอะไรที่เงินหรือชั้นสูงกระทำ เราถือว่าเป็นการถูกต้องควรนิยมทุกอย่าง จนถึงมีศัพท์บ้าๆ อะไรเกิดขึ้นคำหนึ่งว่า “บาปวิมุติ” คือผู้ไม่รู้จักมีบาป ผู้ทำอะไรไม่ผิด หรือมิยินยอมให้ว่าเป็นถูก นั่นมันเป็นการที่ต่างหลอกลวง อย่างนี้ซึ่งสิ่งใดผิดถูก ชอบที่จะว่าให้ขาวเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูง ที่เราพากันเชื่อถืออย่างงมงายเช่นนี้ แสดงว่าเราไม่สู้หน้ากับความเป็นจริงนั้น ไม่เห็นปรากฏมีใครในโลกที่จะทำอะไรไม่ผิดเลย ถึงท่านเจ้าของลัทธิหรือศาสนาทั้งหลาย อันมีผู้เคารพสักการะทั่วโลก ก็ยังปรากฏว่าได้เคยคิด หรือทำอะไรผิดมาเหมือนกัน

โดยเหตุที่มักหลงเชื่อกันอยู่ว่า อำนาจย่อมทำอะไรถูกต้องเสียหมดนั่นเอง สงครามในโลกจึงหาเวลาสิ้นสุดยุติไม่ได้ และความปั่นป่วนจราจลความเดือดร้อนร้อยแปด จึงย่อมปรากฏอยู่ทั่วไปทุกซอกทุกมุมของโลก นี่เป็นเครื่องแสดงผลร้ายของการไม่สู้หน้าของความเป็นจริงอีกข้อหนึ่ง ข้าพเจ้ายังจะมาซ้อมความเข้าใจในเรื่องนี้บางตอนอีกในวันข้างหน้า

3. ความสงบ

ผู้เขียน ๆ ว่า ขอให้ทุกคนอย่าดูถูกค่าของคอมมอนเซนส์ (Common Sense กุหลาบ สายประดิษฐ์ แปลว่า “ความรู้สึกธรรมดา” ในปัจจุบันที่ใช้กันในภาษาไทย คือ “สามัญสำนึก” – บก.)

บุคคลผู้มีอำนาจอันประกอบขึ้นด้วยชาติตระกูล ด้วยยศศักดิ์ หรือด้วยเงินก็ตาม มักพอใจปั่นให้คนทั้งหลายหลงด้วยวาจาอันไพเราะเพราะพริ้งของเขา เขาทำดังนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ข้าพเจ้าไม่อยากตอบ แต่แน่นอนต้องไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของชาติ จริงอยู่ ในสมัยนี้ คนโง่ยังมีมาก หรือคนฉลาดที่ไม่เอาธุระของเพื่อนร่วมชาติยังมีอยู่ดาษดื่น ผู้มีอำนาจดังกล่าวแล้ว จะดำเนินการพูดเพราะของเขาไปได้โดยราบรื่น แต่ทุกคนย่อมรู้ว่า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มันหมุน และสรรพสิ่งในโลกจะไม่หยุดอยู่กับที่ ฉะนั้น จึงเป็นการแน่นอนที่เขาเหล่านั้นจะต้องพบอุปสรรคในวันหนึ่ง

ในสมัยก่อนเราถามไม่มีใครตอบ ในสมัยปัจจุบันเราถามมีคำตอบบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด และมีความจริงบ้าง โกหกบ้าง ในคำตอบเหล่านั้น ในสมัยที่เราๆ อยู๋ข้างหน้า เราจะได้คำตอบที่เต็มตามคำถาม และต้องจริงทั้งหมด ความต้องการของมนุษย์ในที่สุดจะไปยุติอยู่ที่ความจริง

ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในวันก่อนว่า อำนาจบรรดาลความนิยม นี่เป็นความจริงมาแล้วแต่บรรพกาล ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันสมัย และยังจะเป็นต่อไปอีกจนกว่าโลกแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่า สิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ในโบราณสมัยอำนาจจะอยู่กับกษัตริย์หรือนักรบ บางคราวอยู่กับนักพูด บางคราวอยู่กับบุคคลชั้นสูง เป็นต้นว่าพวกเจ้านายและอำมาตย์ บางคราวที่โลกย่างเข้าสู่สมรภูมิแห่งเศรษฐสงคราม อำนาจย่อมอยู่กับเงิน ในประเทศรัสเซีย ณ สมัยปัจจุบันอำนาจตกอยู่กับคนจน และในอารยประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกา อำนาจเฉลี่ยตัวของมันอยู่กับบุคคลทั่วไป อำนาจบรรดาลความนิยม มันเป็นความจริงทุกกาล ทุกสมัย แต่สิ่งที่ปรุงแต่งอำนาจย่อมแปรผันไปได้ตามโอกาสในเมืองใด ถ้าอำนาจอยู่ที่เงินกับชั้นสูง และผู้ที่กำอำนาจจะไม่ละเสียซึ่งการสู้หน้ากับความจริงแล้วหันเข้าหาความโกหกตอแหลตะพึดตะพือไป อำนาจจะคงที่ไม่แปรรูปไปเป็นอื่นได้

สมมติว่าตัวเราเองเป็นหัวหน้าอยู่ในบ้านๆ หนึ่ง ถ้าเราเกิดขาดแคลนจนถึงไม่มีสตางค์ซื้อข้าวให้คนในบ้านของเรากิน ความจริงจะบอกกับเราและกล้าสู้หน้ากับความเป็นจริง ดั่งนี้ เราย่อมจะเห็นแก่ท้องของเราจนเกินไปไม่ได้ เราคงจะยอมสละอาหารอย่างดีของเราชั้นหนึ่ง เพื่อแลกกับอาหารเลวๆ หลายชั้น แล้วเอามาแบ่งให้คนของเราได้กินโดยทั่วถึงกัน บ้านเราก็จะมีความสงบสุขปราศจากความเดือดร้อนใดๆ โดยตัวเราเองจะขาดไปเพียงนิดหนึ่งก็ที่ตรงโอชารสอันเคยมีแก่ลิ้นของเราเท่านั้น

แต่ขอให้เรามาพูดกันด้วยความสัตย์จริงใจเถิดว่า ทุกวันนี้ เราพอใจสู้หน้ากับความเป็นจริงกันบ้างหรือเปล่า ข้าพเจ้าเคยพบแต่เขาโกหกตัวของเขาเองอย่างง่ายดาย เจ้าหมอนั่นมันพออดข้าวได้ถึงสามมื้อ แน่นอนมันพอทนความลำบากชนิดนั้นได้ดอกน่ะ ความเดือดร้อนเพียงเท่านั้นไม่เป็นไรสำหรับมัน เรายังไม่จำเป็นจะต้องแก้ไขอะไรให้มันดีขึ้น เราเรื่อยๆ ของเราไปก่อนได้นี่ซิ โลกของเราจึงไม่มีเวลาสงบ ความเจ็บปวดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างระหว่างคนชั้นหนึ่งกับอีกชั้นหนึ่ง จึงได้ปรากฏทั่วไปในประเทศต่างๆ การรวบเร่งรวมกำลังกันตั้งขึ้นเป็นหมู่ เป็นคน เป็นสมาคม จึงอุบัติตามๆ กันขึ้นมา เพื่อความมุ่งหมายอย่างเดียวที่จะใช้กำลังอันได้รวมกันเข้าดีแล้ว บังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่โกหกตัวเอง เพื่อประโยชน์ของตัวเอง และบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งสู้หน้ากับความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก

บัดนี้เรายอมรับกันได้ว่า การไม่สู้หน้ากับความจริง คือบ่อเกิดของความไม่สงบสุขเที่ยงแท้ เมื่อข้าพเจ้ายังไม่ทันเขียนเรื่องนี้ให้กระจ่าง ท่านผู้อ่านบางคนอาจติดเตียนว่าข้าพเจ้าเขียนในสิ่งที่เหลวไหล ทีนี้คงเห็นกันทั่วแล้วซิว่า ความจริงกับความสงบเป็นของคู่กัน แม้ในทางพุทธศาสนาก็สอนให้มนุษย์สู้หน้ากับความเป็นจริง ให้เชื่อด้วยมีใจศรัทธา มิใช่ให้เชื่อด้วยความงมงายหรือหลอกลวง หรือข่มขี่บังคับการโกหกตอแหลนั่นเทียว นี่เป็นบ่อเกิดของความปั่นป่วน จราจล และนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษยชาติ

ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นว่า ความจริงคือความสงบ จึงได้เซ็นชื่อจริงลงไว้ในการเขียนเรื่องนี้ เพื่อบูชาความจริง ด้วยน้ำใสใจจริงแท้ อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่ข้างรำคาญเต็มที ที่ได้ยินผู้พูดก้ันนักว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนั้น มีท่านขุนนางผู้ใหญ่คนนั้นคนนี้เป็นผู้หนุนหลัง เป็นผู้เขียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ดูๆ บุคคลที่ไม่ได้เป็นขุนนางหรือเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ผู้อ่านเรื่องนี้ตั้งต้นด้วยการหลอกตัวเอง จึงเซ็นชื่อกำกับไว้เพื่อให้ท่นดูงานของคนเป็นข้อใหญ่ แม้บางท่านจะพูดว่า นี่เป็นเรื่องของเจ้าเด็กเขียน ไม่ต้องการอ่าน ช่างเถอะ ข้าพเจ้าไม่น้อยใจ บางทีในวันหนึ่ง ท่านอาจจะหยิบมันขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจก็ได้ ข้าพเจ้าไม่มีความรู้พิเศษอะไรทั้งนั้น ข้าพเจ้าเขียนไปตามคอมมอนเซนส์บอก ข้าพเจ้าขอให้ทุกคนอย่าดูถูกค่าของคอมมอนเซนส์ วันหน้าเราจะได้พิจารณากันถึงเรื่องมนุษยภาพต่อไป

กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา)
หนังสือพิมพ์ไทยใหม่ 8-11 ธันวาคม พ.ศ. 2474
หนังสือพิมพ์ศรีกรุง 10 -21 มกราคม พ.ศ. 2475
บทความ ‘มนุษยภาพ’ ของ ‘กุหลาบ สายประดิษฐ์’ และหมายเหตุบรรณาธิการชำระโดย ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ ตีพิมพ์ครั้งแรกใน 100 ปี กุหลาบ สายประดิษฐ์ หนังสือเฉพาะกิจของ a day weekly พิมพ์เมื่อ 31 มีนาคม พ.ศ. 2548 ต่อมา ในวาระครบรอบ 100 ปี ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) ได้รับการจัดพิมพ์รวมเล่มพร้อมกับข้อเขียนหนังสือพิมพ์ชิ้นอื่นๆ ไว้ใน ‘มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ’ บรรณาธิการและชำระต้นฉบับโดย ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’ พิมพ์เมื่อมิถุนายน พ.ศ. 2548 โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 100 ปี ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์)