Photo by Faustino Carmona Guerrero

หากพูดถึงเดือนกุมภาพันธ์อาจมีหนุ่มสาวหลายคนเข้าใจว่าคือเดือนแห่ง “วันวาเลนไทน์ (ความรัก)” มากกว่าเดือนแห่งวันมาฆบูชา ที่มีหลายคนรู้แค่เพียงว่าคือการเวียนเทียนเพียง 3 รอบในวัด หรือเดือนที่หลายคนอาจรอคอยจนหัวใจพองโตที่จะตระเตรียมบอกกล่าวประโยคซักประโยค ที่คิดแล้วคิดอีกจนใจหวั่น ในวันวาเลนไทน์

บางคนอาจเบือนหน้าหลับตาและข่มความรู้สึกที่ปวดร้าว-สูญเสียเอาไว้ข้างใน กระทั่งบางคนอาจต้องหลั่งน้ำตากลางดึกหรือนอนไม่หลับ พลันคิดถึงวันคืนแห่งความรักและความฝันที่ได้มานั่งเคียงข้างกันเพื่อพูดถึงวันข้างหน้าที่ทั้งสองจะไปถึงในอนาคต แต่ห้วงเวลาปัจจุบันเล่ากลับว่างเปล่าหรือโอบล้อมไปด้วยอ้อมกอดแห่งวันเวลาที่เปลี่ยวเหงาซึ่งมีความอ้างว้างเติมเต็มอยู่ไม่ขาด

…ท้องฟ้ามัวหม่น… หัวใจของใครบางคนเคว้ง…เหงา…. และถูกขโมยไป ฝนตกลงมาจากท้องฟ้าเพื่อบอกว่า ข้ามาผลักไสความแห้งแล้ง รอยต่อของฤดูหนาวกล่าวกับฤดูร้อนว่า “ถึงเวลารับใช้ ของเจ้าแล้ว” ในขณะที่หัวใจของใครบางคนไม่หวนคืนมา?..

ถ้าความรักคือการให้ จริงหรือที่จะไม่หวังสิ่งใดเลยจากการที่จะเปลี่ยนเป็นผู้ได้รับบ้าง หากการรดน้ำพรวนดินเพื่อทำให้ความรักเติบโตและเป็นร่มเงาแห่งชีวิต ทว่าการทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นนั้นกลับง่ายยิ่งกว่า อันแรกซะอีก ใช่หรือไม่อาชญากรที่เลวร้ายที่สุดหรือผู้กระหายสงครามจะไม่มีความรักอยู่ในหัวใจเลย หรือคนที่บอกรักเราจนนับไม่ไหวจะรักเราจริงตราบจนฟ้าดินสลายตายจากไปข้างหนึ่งกระนั้น

หากเดือนกุมภาพันธ์คือสัญลักษณ์แห่งความรัก และเดือนตุลาคมคือสัญลักษณ์ของวันประชาธิปไตย (เฉพาะไทย) เดือนไหนละที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียมกันของมนุษย์ และ เดือนใดเล่าที่จะเป็นเดือนแห่งความตาย เพราะมนุษย์เราต่างเกิดและตายทุกวันไม่ใช่หรือ ทว่าคนไม่ต่ำกว่า 10 คนต่อ 100 คนในทั่วโลกต่างก็ให้ความรักต่อกันและความรุนแรงต่อกันทุกวันอยู่มิขาดหากนับรวมทั่วโลกแล้วไม่ใช่หรือ ถึงกระเพาะ-ลำไส้ของใครบางคนอย่างสม่ำเสมอ เปรียบดังความเหงา-กาลเวลาและความตายที่ไม่เคยปราณีผู้ใด

ในความรักหลายคนอาจให้ความเห็นว่า มันคือทุกอย่างของชีวิตที่ควบคุมตั้งแต่จังหวะการเต้นของหัวใจ กระทั่งถึงลมเผยอ ที่ออกจากแก้มก้นซีกใดซีกหนึ่งอย่างแผ่วเบาและไร้เสียงต่อหน้าคนรัก หลายคนไม่กล้าพูดความจริงทุกเรื่องในชีวิตตนให้คนรักฟัง หรือบางห้วงยามเสาะหาแต่คำหวาน ๆ กระทั่งปฏิบัติอย่างเลือกปฏิบัติต่อคนทั่ว ๆไป ราวความรักมีความหมายแค่คนเพียงสองคนเท่านั้น แล้วคนที่อดโซนอนขดตัวอยู่ข้างถนนเล่าต้องการความรักหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเด็กขี้ขโมยบางคนหรือเด็กตามถนนรนแคม ตามสี่แยกไฟแดงจะไม่ใฝ่ฝันถึงความรักบ้างกระนั้นหรือ

เช่นกันหากว่าความรักคือโรคอย่างหนึ่งของร่างกายตรงกันข้าม มันก็คือยาอย่างหนึ่งของร่างกายเช่นกัน บางโมงยามโรคอาจกำเริบและต้องการหมอรักษา บางโมงยามยาที่กินอาจไม่ถูกวิธีหรือเกินขนาด อันสมควรที่ร่างกายจะได้รับ บางครั้งก็เป็นทั้งน้ำอุ่น-น้ำเย็น-น้ำร้อนที่อยู่ในใจ บางครั้งก็เปรียบดังเช่นฤดูแล้ง-ฤดูฝนและฤดูหนาวขึ้นกับว่าคน ๆ นั้นให้ค่ากับความรักเช่นใด

แต่ทว่าทุกวันนี้เรายังมีความรักให้กันไม่มากพอใช่หรือไม่ สงครามและการแก่งแย่งจึงดำรงอยู่อย่างไม่เกรงกลัวความรักใด ๆ เลย และจำเป็นหรือไม่ที่ความรักควรเริ่มต้นจากตัวเราก่อน แล้วแผ่ขยายไปเช่นการขว้างหินลงน้ำที่กระเพื่อมวงออกไปเรื่อย ๆ ในยามที่เซ็งชีวิต หรือมัวหมองในชีวิต ประโยคสั้น ๆ อาจทำให้ใครบางคนดีใจและร้องไห้ เช่น เราเลิกกันเถอะ หรือ ผมรักคุณทุกโมงยาม

ภูมิวัฒน์ นุกิจ