“ลุง ๆ รถจะผ่านตรงนั้นตอนเจ็ดโมงเช้า ลุงไปรอได้เลย แต่นี่เป็นความลับนะ อย่าบอกใครล่ะ” เสียงคนขับรถเมล์ฟรีตะโกนโหวกเหวก พร้อม ๆ กับโผล่หน้าออกไปทางหน้าต่างข้างคนขับ เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่า ลุงคนที่แกคุยด้วยข้ามถนนไปถึงอีกฝั่งอย่างปลอดภัย
เสียงตะโกนเงียบลงไป พร้อม ๆ กับความฉงนในใจตัวเอง ว่า เอ….มันจะเป็นความลับได้ยังไง ก็พี่ตะโกนซะดังขนาดนั้น
“ลุงเนี่ย น่าสงสาร เป็นทหารผ่านศึก หูไม่ค่อยได้ยิน ต้องตะโกนดัง ๆ วันก่อนแกเดินข้ามถนน รถบีบแตรแล้ว แต่แกไม่ได้ยิน รถเกือบชน น่าสงสาร” คนขับรถเมล์พูดขึ้นราวกับได้ยินคำถามในหัวเรา
รถเมล์แล่นต่อไป…จนมาหยุดตรงแยกไฟแดงหนึ่ง
“ลงไปเก็บสิ เสียดาย รถทับไปก็เสียของเปล่า ๆ” คนขับรถเมล์ตะโกนบอกกระเป๋า ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธ “ไม่ลงเหรอ เสียดายนา” พี่คนขับยังคงพูดต่อไป “ไม่ไป เดี๋ยวไปเองนะ เสียดาย”
เราไม่รู้ว่า เขาพูดถึงอะไรกัน เห็นแต่คนขับลุกขึ้นพรวดพราดจากเก้าอี้ตัวเอง (ขณะที่รถจอดติดไฟแดงที่ไม่รู้ว่าจะเขียวเมื่อไหร่) เดินลงจากรถเมล์ไปซะอย่างนั้น คนโดยสารอย่างเราได้แต่จินตนาการบนความไม่รู้และโวยวายไปเองในใจว่า ถ้าคนขับลงจากรถ แล้วถ้ามันเขียวขึ้นมาใครจะขับ…
หายไปถึง 5 วินาที พี่แกเดินขึ้นมาพร้อมแอปเปิ้ล 2 ลูก ที่มีใครไม่รู้ทำตกไว้กลางถนน “ไม่เห็นเป็นไร นี่ยังดี ๆ อยู่เลย อากาศร้อน ๆ แบบนี้ เอาไปให้ยามกินก็ยังดี” พี่คนขับบ่นเล็กน้อย แล้วก็กลับไปนั่งประจำการที่เดิม
รอยยิ้มผุดพรายเปื้อนหน้าใครหลายคนบนรถเมล์คันนั้น รวมทั้งตัวเราด้วย นี่หรือเปล่าที่เรียกว่า “ความสุข” ในวันที่หาได้ยากเต็มทีในสังคมไทย ความสุขที่ได้เห็นคนอื่นให้คนอีกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน แม้จะเป็นความสุขเล็ก ๆ แต่การที่ได้ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว มันทำให้เช้าวันนั้นเป็นเช้าที่แสนอิ่มเอิ่ม…เบิกบาน
จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม