ภายหลังจากหน้าที่การงานคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว ผมดิ้นรนพาตัวเองไปดูหนังหลายเรื่องเพื่อจะหาเรื่องราวที่น่าสนใจมาพูดคุยกัน เนื่องด้วยเหตุที่ดูหนังมาหลายเรื่อง การที่จะตัดสินใจเลือก มันก็เลยต้องมีกระบวนการในการวิเคราะห์เปรียบเทียบกันซักหน่อย (เกณฑ์ที่ผมใช้พิจารณานั้นต้องบอกว่า เป็นความพึงพอใจส่วนตัวและโปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน)

เรื่องแรกคือ Lord 2 : The Two Tower นี่คือหนัง Hollywood ชั้นดี ที่ลงตัวในหลายๆ ด้าน จุดอ่อนอันน้อยนิด แต่มีผลต่อการตัดสินใจของผมอย่างมาก (ฮาฮาฮา) ก็คือ บทของ อาร์เวน (Arwen) ที่แสดงโดย ลิฟ ไทเลอร์ (Liv Tyler) มีน้อยมาก เธอคือ “สิ่งสวยงาม” เพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางเหล่าอสูรกายหน้าตาอัปลักษณ์และกองซากศพ (สำหรับใครที่รู้สึกเหมือนผมหลังจากดูจบ ขอแนะนำไปหาหนังเก่าที่ทำให้เธอแจ้งเกิดอย่าง Stealing Beauty นะครับ รับรองไม่ผิดหวัง)

เรื่องต่อไปคือ White Valentine ที่แสดงโดยน้อง จอนจิฮุน ที่ขโมยหัวใจของใครหลายคนรอบ ๆ ตัวผมไป (แหวะ) จาก My Sassy Girl และ il mare นี่เป็นหนังตั้งแต่ปี 1999 ที่เธอแสดงเป็นเรื่องแรก เท่าที่ได้ดู ตัวหนังเดินเรื่องค่อนข้างจะอืดอาด ชวนให้หลับเอามาก ๆ พล็อตเรื่องไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ ความสดใสน่ารักของน้องเขาเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้ผมแข็งใจดูอยู่ได้ตลอดเรื่อง โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจาก พี่เสก คนเกินร้อย หรือ พี่แอ็ด นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่

แต่ท้ายที่สุด ผู้ที่เบียดเอาชนะหนังอลังการงานสร้างอย่าง Lord 2 และความน่ารักของน้อง จอนจิฮุน จาก White Valentine ได้ คือหนังที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณยายบ้านนอกวัย 77 และหลานชายชาวกรุงวัย 7 ขวบ เป็นหนังที่สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นหนังทำเงินอันดับ 2 ประจำปีของเกาหลี และไปคว้ารางวัลจากเทศกาลหนังอีกหลายแห่งชื่อ “The Way Home”

เนื่องจากปัญหาเรื่องปากท้อง แม่ของ ซังวู ตัดสินใจส่งเขาไปอยู่กับยายซึ่งเป็นใบ้ ที่บ้านนอกเป็นการชั่วคราวจนกว่าเธอจะหางานใหม่ได้ ความแตกต่างของแบบแผนในการดำเนินชีวิตที่แต่ละฝ่ายสังกัดทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันระหว่างยายกับหลาน ก่อนที่จะคลี่คลายลงเมื่อได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจอีกฝ่ายและพัฒนามาเป็นความรักและเอื้ออาทรที่มีให้แก่กัน

เนื้อหาทั้งหมดของ The Way Home มีเพียงเท่านี้ ซึ่งก็จริง ๆ แล้ว เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จของหนังประเภทเรียกน้ำตา (แห่งความประทับใจ) จากคนดู แต่ต้องยกเครดิตให้กับผู้กำกับคือ ลีจองฮัง ซึ่งเป็นคนเขียนบทด้วย ที่เพิ่มเติมรายละเอียดบางอย่างเข้าไปในเรื่อง จนทำให้เรื่องราวของสองยายหลานในเรื่อง ขยายชอบเขตกลายเป็นกระจกสะท้อนความแตกต่างระหว่าง “วัฒนธรรมชนบท” กับ “วัฒนธรรมเมือง” ได้อย่างแยบยล

หนังเปิดเรื่องด้วยการโดยสารรถไฟไปหาคุณยาย ซังวู ถามแม่ว่า “ยายเป็นใบ้จริงหรือ…. ถ้าเช่นนั้น… อย่างน้อยผมก็ไม่ต้องทนฟังเสียงบ่นเหมือนตอนที่อยู่กับแม่” น้ำเสียงที่ใช้บ่งบอกว่า ซังวู คิดเช่นนั้นจริง ๆ มากกว่าที่จะเป็นการกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยความรัก

ฉากสั้น ๆ แค่นี้สามารถบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองได้อย่างชั้นเจน ในสังคมสมัยใหม่ที่ผู้หญิงออกมาทำงานนอกบ้าน แล้วปล่อยลูกเอาไว้กับบ้านโดยมีทีวีและของเล่นต่าง ๆ เป็นเพื่อน เด็กที่เติบโตมาในสภาพเช่นนั้น มักจะเป็นคนก้าวร้าว จิตใจหยาบกระด้าง เด็กเหล่านี้ไม่รู้จักความอบอุ่นของอ้อมกอดแม่ หากเพราะเติบโตมากับไออุ่นจากเครื่อง Heater พวกเขาไม่รู้จักการอ่อนน้อมเมื่อพูดกับผู้ใหญ่ เพราะคุ้นเคยแต่กับการคุยกับโทรทัศน์

หลังจากนั้นไม่มีการสื่อสารใด ๆ อีกเลยระหว่างคนทั้งสองไปตลอดการเดินทาง ซังวู นั้นหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมส์กด ส่วนแม่ของเขาก็เอาแต่นอน จนกระทั่งความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงพูดคุยทักทายไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของชาวบ้าน ผสานด้วยเสียงร้องของเป็ดไก่ที่แต่ละคนหอบหิ้วมาจากตลาด เมื่อทั้งสองเปลี่ยนมาโดยสารรถประจำทางที่วิ่งเข้าหมู่บ้าน ทั้ง ซังวู และแม่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่ “พื้นที่ส่วนตัว” ถูกรุกราน

วิทยาการสมัยใหม่อย่างเช่น เกมส์กดแบบพกพา, โทรศัพท์มือถือ, วิทยุ Walkman ส่งเสริมให้คนในเมืองมี “โลกส่วนตัว” ของตัวเอง นานๆเข้าก็กลายเป็นการตัดขาดตัวเองจาก “โลกภายนอก” ไม่มีใครสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่อยู่รอบ ๆ ตัว จนทำให้ “ชุมชน” ที่ตัวเองสังกัดมีความหมายตามข้อบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เท่านั้น ในขณะที่หมู่บ้านซึ่งคุณยายของ ซังวู อาศัยอยู่ “ความทันสมัย” เหล่านี้ยังเข้าไปไม่ถึง ผู้คนในหมู่บ้านยังคงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (เราได้เห็นเพื่อนบ้านแบ่งผลไม้ที่เก็บเกี่ยวได้มาให้ยายของ ซังวู ) และเอื้ออาทรห่วงใยกันและกัน (ยายเอายาบำรุงที่แม่ของ ซังวู ซื้อมาฝาก ไปให้เพื่อนบ้านที่กำลังป่วยอยู่) ชุมชนซึ่งคำว่า “เพื่อนบ้าน” มีความหมายมากกว่าแค่คนที่ปลูกบ้านอยู่ติดกัน

ตัวหนังเองให้น้ำหนักไปในทางเชิดชูความงดงามและลุ่มลึกของวัฒนธรรมตะวันออก ภายใต้สังคมเกษตรกรรมแบบดั่งเดิม ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงแง่มุมที่เลวร้ายของวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ได้รับมาจากทางตะวันตก

อย่างเช่นตอนที่ ซังวู นั่งกินข้าวอยู่แล้ว มีแมลงเดินผ่าน ซังวู ร้องตะโกนด้วยความกลัวและร้องเรียกหายาฆ่าแมลงมาฉีด เมื่อยายจับแมลงตัวนั้นได้ ซังวู ร้องบอกให้ฆ่ามันซะ ยายลุกขึ้นเดินช้า ๆ ไปที่หน้าต่าง แล้วก็ปล่อยมันไป

ฉากนี้ก็ซ่อนนัยยะไว้ให้ตีความได้อย่างลึกซึ้ง แมลงตัวนั้นมันก็เดินของมันอยู่ดีๆ ไม่ได้ไปทำอันตรายใคร มนุษย์เรามีสิทธิ์อะไรที่จะไปตัดสินว่าชีวิตของมันควรสิ้นสุดลง เพียงแค่เพราะว่าเราไม่ชอบรูปลักษณ์ของมัน เพียงแค่เราไล่มันให้ไปไกล ๆ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ผลผลิตของสังคมเมืองอย่าง ซังวู ไม่มีทางความเข้าใจในความเชื่อมโยงเกี่ยวพันระหว่างสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศตามธรรมชาติ การที่แมลงขุดคุ้ยลงไปในดินเพื่อหาอาหาร ช่วยให้ดินให้เกิดความร่วนซุย ซึ่งส่งผลให้การเพาะปลูกได้ผลผลิตที่งอกงาม สุดท้ายมันก็ย้อยกลับมาเป็นอาหารดี ๆ ให้ ซังวู ได้กิน

หรือฉากที่ยายเอายาบำรุงที่แม่ของ ซังวู ซื้อมาฝาก ไปมอบให้เพื่อนบ้านที่กำลังป่วยอยู่ เพื่อนบ้านคนนั้นไม่กล้ารับเอาไว้เพราะเกรงใจ แต่ยายก็ไม่ยอมรับคืน สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากขอบคุณในน้ำใจที่ยายหยิบยื่นให้ และเสียใจที่ไม่มีอะไรจะมอบให้เป็นการตอบแทน แล้ว ซังวู ก็พูดขึ้นว่าที่บ้านของเขาค่อนข้างขาดแคลนเสื้อผ้าใหม่ ๆ สุดท้ายเขาก็ได้เสื้อใหม่มาใส่ ตอนที่ดูฉากนี้ในโรงหนัง ทุกคนรวมทั้งผมหัวเราะไปกับความเจ้าเล่ห์ของ ซังวู แต่หลังจากมาคิดทบทวนดู มันค่อนข้างจะเป็นมุขตลกร้ายที่เสียดสี “ปรัชญาของการศึกษา” ไว้อย่างเจ็บแสบ ในขณะที่คนไร้การศึกษาอย่างคุณยายช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความบริสุทธ์ใจไม่ได้หวังอะไรตอบแทน แต่การศึกษากลับสอนให้คนอย่าง ซังวู กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ คิดแต่เรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว และพร้อมจะเรียกร้องเอาจากคนอื่นทุกเมื่อที่มีโอกาส

ถึงแม้ว่าหนังจะสอดแทรกประเด็นต่างๆไว้ให้ขบคิดมากมาย อีกทั้งแต่ละประเด็นก็หนักหน่วงชนิดที่ชวนให้หดหู่ทั้งสิ้น แต่ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะตลอดทั้งเรื่อง (เผลอ ๆ อาจต้องเสียน้ำตาเอาซะด้วยสำหรับบางคนที่ต่อมน้ำตาตื้น) ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าผู้กำกับเก่งมาก (ผมกำลังหาหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเธอเรื่อง Art Museum by the Zoo มาดู คงได้เอามาแนะนำกันในโอกาสต่อไป)

อีกส่วนประกอบที่มีความสำคัญอย่างมากต่อความสมบูรณ์ของหนังก็คือ การแสดงของ คิมยูบุน ในบทคุณยายและ ยูซึงโฮ ในบทของ ซังวู จริง ๆ แล้วต้องถือว่าบท ซังวู นั้นเป็นบทนำที่ขับเคลื่อนให้เรื่องราวเดินไปข้างหน้า ในขณะที่บทคุณยายในเรื่องเป็นบทที่นิ่งและเปิดโอกาสให้แสดงออกน้อยมาก การที่จะสามารถดึงคนดูให้ติดตามเรื่องในช่วง 90 นาทีแรก ซึ่งเป็นช่วงของการปูพื้นให้รายละเอียดต่างๆ ของเรื่อง (ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในการสร้างความประทับใจในตอนจบ) ต้องอาศัยการแสดงที่มีสีสันบท ซังวู ซึ่งเจ้าหนูยูซึงโฮเล่นออกมาได้กวนteenเอามาก ๆ ดูแล้วสามารถเรียกว่า “Ai-เด็ก-wane” ได้เต็มปากเต็มคำ

การแสดงในส่วนของคุณยายนั้น เป็นการแสดงที่จะว่าง่ายก็ง่ายจะว่ายากก็ยาก เพราะเป็นบทที่เปิดโอกาสให้ “แสดง”น้อยมาก การที่จะสื่อสารความรู้สึกอะไรออกมา ต้องแสดงออกทางดวงตาเท่านั้น แต่หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่คุณยายแกแสดง (จริง ๆ แล้วคุณยายคิมยูบุนแกเป็นชาวบ้านธรรมดา ทีมงานของหนังเรื่องนี้ไปเห็นแกเดินอยู่ในทุ่งนา ตอนออกสำรวจหาสถานที่ถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แล้วเห็นตรงกันว่า “นี่แหล่ะ!! คุณยาย..” ตลอดชีวิตแกไม่เคยดูหนังมาก่อน หนังเรื่องแรกที่แกมีโอกาสได้ดูก็คือ หนังที่แกแสดงเองเรื่องนี้) ก็ต้องยอมรับว่าทำได้เยี่ยมมาก

ตลอดทั้งเรื่องเราจะเห็นว่า “ท่วงทำนองในการใช้ชีวิต” ของ 2 ยายหลานค่อนข้างต่างกันมาก ตัว ซังวู นั้นเป็นพวกอยู่ (ด้วยแล้วคนอื่น) ไม่ (เป็น) สุข (เพราะหาเรื่องมาให้ปวดหัวได้ตลอดเวลา) ตามแบบฉบับของคนเมืองที่ชีวิตต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลาเพื่อให้ตามคนอื่นทัน ส่วนคุณยายก็เป็นพวกเนิบๆ เรี่อยๆ มีชีวิตแบบพออยู่พอกิน ไม่มุ่งเน้นว่าจะต้องร่ำรวยอะไร ถ้าคนสมัยใหม่ใช้ชีวิตแบบ “มองไปข้างหน้า” อย่างคุณยายแกก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นพวก “มองมาด้านข้าง” กระมัง

ในตอนจบของเรื่องคุณยายสามารถเปลื่ยน ซังวู ให้หันมามองคนรอบข้างขึ้นมาบ้าง นั่นคือบทสรุปที่ควรจะเป็นตามทางของหนัง ผมสังเกตเห็นว่าคนที่ดูในรอบเดียวกับผมล้วนซาบซึ้งใจในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริง คุณยายจะสามารถโน้มน้าว (ไม่ใช่โน้มคอตีเข่านะครับ) ให้คนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ลองหันมามองด้านข้างได้หรือไม่ นั่นคือประเด็นที่น่าสนใจยิ่ง

ม้าก้านกล้วย