ธนพล ทรงพุฒิ (เอ กระจกเงา) – Photo by Annop Nipitmetawee

ผู้ชายคนหนึ่ง… เรียนไม่จบ! ไม่มีงาน! ละลายความหมายของชีวิตในแต่ละวันด้วยการร่ำสุรา… การที่มีรุ่นน้องใจดีสักคนโทรมาชวนไปเลี้ยงเหล้าในยามค่ำคืนที่ไหนสักแห่งนั้น นับเป็นเรื่องที่น่าพอใจแล้วสำหรับเขา…

ชีวิตในแต่ละวันอาจดูเหมือนไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แต่จากเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิที่สร้างความเสียหายไปทั่วชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปี 2547 นับเป็นความทรงจำอันเจ็บปวดที่ฝังรากลึกลงในความรู้สึกยากจะลบเลือน แต่หากมองในแง่บวกแล้วคงพอมองเห็นสิ่งดี ๆ อยู่บ้าง คือ ในยามนั้น ได้เกิดคลื่นพลังคนอาสาฯ คนทำงานเพื่อสังคม แผ่ขยายออกไปทั่ว รวมทั้งผู้ชายคนนี้ “เอ กระจกเงา”

จุดเปลี่ยน… สู่โลก… เอ็นจีโอ

ธนพล ทรงพุฒิ (เอ) เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ครั้งหนึ่งเคยผ่านการใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กในต่างแดน โดยเดินทางตามผู้ปกครองไปยังสวิชเซอร์แลนด์ และสิงคโปร์ ต่อจากนั้นจึงกลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย และเรียนต่อระดับปริญญาตรีในคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) แต่ทว่าก็ไม่จบอย่างที่ตั้งใจไว้ และออกมาใช้ชีวิตพเนจรตามบ้านเพื่อนฝูงอยู่เป็นแรมปี แต่นั่นคือ อดีตที่ผ่านมา ณ วันนี้ ธนพล มีดีกรีเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์อาสาสมัคร ที่มูลนิธิกระจกเงา

“ตอนนั้นเกิดสึนามิขึ้น (ปลายปี 2004) ผมก็ได้เดินทางลงไปพร้อมเพื่อน ๆ ที่ออกค่ายด้วยกัน ลงไปได้ประมาณ 3-4 วันก็กลับมา และได้ทบทวนตัวเอง วัน ๆ เราอยู่บ้าน ดูทีวี นอนอยู่บ้านเฉย ๆ เย็นมาก็ออกไปข้างนอก ตื่นสาย ๆ หาข้าวกิน ขึ้นไปนอนต่อ เย็นออกไปข้างนอก ถามว่าเราทำประโยชน์อะไรอย่างอื่นได้ไหม จริง ๆ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นที่เราทำได้ ทั้งๆที่ทางใต้ยังต้องการความช่วยเหลือยู่ ก็เลยเข้าเน็ตค้นหาข้อมูล โจทย์คือเราอยากลงไปภาคใต้ เราอยากไปช่วย มีที่ไหนบ้าง พักที่ไหน เดินทางอย่างไร สุดท้าย ก็ปรากฏว่าได้มาทำงานที่ศูนย์อาสาสึนามิ เขาหลัก”

ธนพล เล่าว่าเป็นความโชคดีที่ มูลนิธิกระจกเงา มีโครงการต่อเนื่องหลังจากเหตุการณ์สึนามิในครั้งนั้น เช่น กิจกรรมฟื้นฟูชุมชน สอนอาชีพ จึงได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิกระจกเงานับแต่นั้นมา มิเช่นนั้นแล้วก็คงต้องแพ็คกระเป๋ากลับบ้านเหมือนคนอื่น ๆ

ส่วนหน้าที่การงานในปัจจุบันคือ รับผิดชอบโครงการลักษณะงานเฝ้าระวัง และเตรียมความพร้อมเมื่อเกิดภาวะวิกฤติหรือภัยพิบัติ เขาจะเป็นหนึ่งในทีมที่คอยตัดสินใจวางโครงสร้าง และข่ายงาน ว่าจะทำอะไรบ้าง มีโครงการต่อเนื่อง หรือไม่ จะคอยดูว่า จะทำอะไรต่อ กับชุมชนนั้นได้บ้างช่วยเหลืออะไรได้บ้างเป็นต้น

“จริง ๆ งาน หรือกิจกรรมที่ทำอยู่ ผมไม่รู้จะเรียกว่าอะไรจะกู้ภัย หรือว่าจะฟื้นฟูชุมชนหรือจะอะไรก็ตามแต่ ผมตอบไม่ถูกเหมือนกัน ผมรู้แต่ว่างานที่ผมทำอยู่ …มันทำเพื่อคนอื่น”

ผมเป็นเด็กค่ายฯ (ไม่ใช่เด็กเรียน)…นะ

ทำไมเรียนไม่จบ? เมื่อเอ่ยถามถึงเรื่องการเรียน ธนพลถึงกับส่ายหน้า เพราะเชื่อว่าชีวิตไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ที่การเรียนในห้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยประสบการณ์นอกห้องเรียนของเขาที่มีอยู่ก็สั่งสมมามิใช่น้อย โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านชีวิตช่วงวัยเยาว์ กับการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในต่างแดน

“เด็กควรเจออะไรที่ปรับเปลี่ยนไปตามระบบ จึงจะเติบโตมาอย่างสวยงามและสมวัย ดังนั้นการที่ตัวเองได้เจอะเจอกับอะไรที่ปรับเปลี่ยนบ่อย ๆ โดยที่วุฒิภาวะยังไม่พร้อม เจออะไรที่มันไม่ใช่วิถีของเด็ก เลยทำให้เข้าใจว่า ทำไม…. ถึงไม่ชอบเรียนหนังสือจนถึงทุกวันนี้

โดยส่วนตัวผมว่าการเรียนกับผมมันไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าให้ผมไปนั่งเรียนในห้องเรียน ผมขี้เกียจ แต่ในความขี้เกียจผม ภาษาอังกฤษผมพูดได้อ่านได้และ ทักษะอื่น ๆ ผมก็พอมี พรสวรรค์บางอย่างผมมี ก็เลย….ไม่ดีกว่า ไม่เรียน ไม่ ไม่ ไม่…

ผมไม่ได้สรุปว่าการเรียนหรือการศึกษามันไม่ดีนะ …ไม่ใช่ ผมกำลังจะบอกว่าเป็นที่ตัวเองมากกว่าที่ไม่เรียน แต่ที่มีการงานทำทุกวันนี้ผมไม่อยากให้ใครยึดเป็นต้นแบบว่าไม่เรียนแล้วยังได้ดีอีก ให้คิดใหม่ ลองถามตัวเองว่าที่คุณเรียนตอนแรกเพราะอะไร อยู่ดี ๆ มายึดผมเป็นต้นแบบ ผมว่ามันไม่จริง ไม่ใช่ ผมน่ะเป็นหนึ่งในพันล้านก็ว่าได้ ที่โชคดี…. โชคดีที่ได้เพื่อนดี… ได้คนใกล้ชิดที่ดี… คอยให้กำลังใจและสอนสั่ง รวมทั้งโอกาศในหน้าที่การงาน

การศึกษามันวัดระดับคนนะครับ มันมีเส้น ๆ หนึ่งที่แบ่งว่าคุณจบปริญญาหรือคุณไม่จบปริญญา โดยมากการเลือกคนทำงานเขาก็คัดคนที่จบอยู่แล้วอันนี้ ชัวร์ แต่อย่างงานผู้ประกอบการทางสังคมหลาย ๆ ที่ที่เขาให้โอกาสก็ดีไป ถือว่าโชคดีไป”

ธนพล บอกว่าที่เรียนไม่จบเพราะตัวเอง ไม่เคยคิดโทษอะไร แม้แต่กิจกรรมออกค่ายฯ ที่ทำอย่างบ้าคลั่งชนิดที่เรียกได้ว่า “ค่ายเป็นหลัก รักเป็นรอง” ส่วนการเรียนนั้น… แทบไม่ต้องพูดถึง

“กิจกรรมอาสาฯ ครั้งแรกเริ่มขึ้นในรั้วมหาวิทาลัย โดยทำกิจกรรมเกี่ยวกับงานค่าย งานประเภทสร้างโรงเรียนใน ชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ทำมาเรื่อย ๆ และรูปแบบที่ทำมันกลายเป็นความเคยชินและความชอบ ที่ชอบได้มีความสัมพันธ์กับเพื่อนกับชาวบ้าน มันก็เริ่มเห็นมุมมองวิธีที่คิดแตกต่างขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ (สึนามิ) มันตอบตัวเองได้อย่างชัดเจนว่าเราชอบงานแบบไหน เราอยากทำอะไร ตั้งแต่ตอนนั้นมาแล้ว

การทำค่ายในแต่ละสถาบันมันมีสไตล์ ที่มีกรอบอยู่ บางค่ายก็สอนคนได้ บางค่ายก็ไม่ แต่ค่ายทุกค่ายมันรับใช้ตัวของกิจกรรมนั้นๆ มันทำให้คนอยู่ในสังคมได้ เช่นกัน แต่ว่า ผมไม่มั่นใจว่าค่ายอื่น ๆ จะเป็นไหม ผมว่าค่ายที่ผมเติบโตมามันดีที่สุดแล้ว มันสอนผมได้”

ค่ายแรกของเขา – ค่ายฯ 6 ณ จ.เชียงใหม่ (พฤษภาคม 2541) – Photo by Annop Nipitmetawee

เมื่อมาเป็น “เอ -กระจกเงา”

“งานที่ทำอยู่ปัจจุบันที่ มูลนิธิกระจกเงา มันขึ้นอยู่กับโครงการ ๆ ไป มันผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น เมื่อตอนที่เกิดสึนามิ มันต้องมีกิจกรรมฟื้นฟูชุมชน แล้วเราทำอะไรได้บ้าง ต่อเรือใช่ไหม? มันต้องไปสนับสนุนอาชีพเขาให้เขาทำมาหากินได้ งานฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เมื่อเรามีอาสาสมัครที่สนใจและมีทักษะการจัดการเรื่องสิ่งแวดล้อมเราก็พาเขาลงทำกิจกรรม พร้อมกับชาวบ้านในพื้นที่ ๆ เราทำ และหนุนเสริมเรื่องการเข้าใจภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมด้วยเป็นบางครั้ง งานทำเฟอร์นิเจอร์ เป็นเรื่องของการสอนให้เขาใช้เครื่องมือ เพื่อที่จะไปประกอบอาชีพอื่นหรือทำใช้เองก็ได้ ซึ่งอันนี้ทำเรื่องส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งการศึกษา ภาคภาษาอังกฤษ สอนตามโรงเรียนต่าง ๆ แค็มป์พักชั่วคราว โดยมีครูอาสาสมัครต่างประเทศโดยทำเป็นผู้สอน และโครงการอื่นๆ ที่ทำโดยอาสาสมัครต่างชาติ เราเป็นผู้ประสานงานชุมชน ให้ข้อมูลชุมชน วิถีของชุมชน รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ วัฒนธรรมองค์กร จากผู้ให้มาเป็นผู้รับด้วย

โครงการที่เพิ่งเสร็จไปคือ ศูนย์อาสามัคร อ.ลับแล เกิดขึ้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2549 เพราะเป็นการช่วยเหลือพื้นที่ ที่ได้รับความเสียหายจากโคลนถล่ม ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ช่วงนั้นอยู่ที่กรุงเทพฯ พอดี ที่นั่นเกิดเหตุ ก็คุยกันว่าเราทำอะไรได้บ้าง เมื่อลงสำรวจพื้นที่ และเราพบว่าหน้างานเรามี เราพบช่องโหว่ที่รัฐสุดมือ เราพบการช่วยเหลือชุมชนโดยรัฐยังไม่ตรงเป้าของความต้องการชุมชนนั้น ๆ งานที่ทำก็คือ ขุดโคลนออกจากบ้าน ให้ชาวบ้านกลับเข้ามาอยู่ในบ้านให้เร็วที่สุด และเด็กที่อยู่ในพื้นที่ประสบภัย เราเองก็มีกิจจกรม ณ เต็นท์พักชั่วคราว เพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องภัยพิบัติ เพื่อคลายกังวลหลังจากที่ตื่นขึ้นมาเจอสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เจอเรื่องสะเทือนใจ และยังมีอื่น ๆ อีก ซึ่งการทำตรงนี้ต้องเดินทางออกพื้นที่ต่างจังหวัดบ่อย ๆ แต่ทางบ้านก็เข้าใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเคยชินตั้งแต่สมัยออกค่าย ตอนออกค่ายแม่ก็ถามว่าออกไปทำไม พักหลังตอนทำค่ายก็ไม่ถามแล้ว ยิ่งพักหลังรู้ว่าผมไปสึนามิก็บอกแค่ให้ระวังตัวนะ พักหลังเริ่มห่วงเรื่องไปช่วยงานด้านการเมืองแล้ว”

มองทิศทางงานค่ายฯ งานอาสาฯ

“ถามว่าจุดเริ่มต้นจริง ๆ ถ้าถอยหลังไปเต็มที่ ซัก 2-3 ปี มันจะมีงานครูอาสา กิจกรรมที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่ามาสอนเด็กได้ ออกมาเป็นครูดอยที่ต่าง ๆ หรือ การทำกิจกรรมเพื่อสังคมในกรุงเทพฯ ผมเชื่อมากเลยว่า หลาย ๆ คนอยากทำกิจกรรมเพื่อสังคม อยากทำเพื่อคนอื่นบ้างเมื่อตัวเองมีโอกาส

ประเด็นคือว่า พอมันเกิดสึนามิขึ้นมันเกิดความต้องการคนมากขึ้น ตอนนั้นในฐานะคนไทยทุกคนควรจะเป็นเจ้าภาพในการช่วยเหลือ ทำไมตอนนั้นมีแต่ชาวต่างชาติ เพราะเขาเคยเจอ เคยสัมผัสมาก่อน เพราะฉะนั้นงานอาสาสมัครมันไม่ควรจะเกิดกับคนที่ว่างงาน มันควรจะเกิดกับคนทั่วไปที่มีงานทำอยู่แล้ว และสามารถดูแลตัวเองได้ ควรเกิดกับคนอื่น ๆ ที่มีจิตสำนึกสาธารณะด้วย เราเลยเล่นประเด็นที่ว่า ‘งานที่มันไม่มีเงื่อนไข คือไม่เกี่ยงงาน การไปที่ไม่มีเงื่อนไข ดูแลตัวเองได้ เป็นภาระให้น้อยที่สุด’ หรือ อยู่ดี ๆ เราทำงานที่บริษัทเดินไปบอกเจ้านายว่า เราจะขอลาไปช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน หรือ… วันนี้ อาจารย์….ค่ะ อาทิตย์หน้า หนูลาเรียนไปช่วยชาวบ้าน อาจารย์จะเช็คชื่อหนูขาดก็ได้ แต่หนูอยากไปช่วยเขา มันคือการไปโดยไม่มีเงื่อนไข”

ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายจากภับสึนามิ ปี 2547
ไปเป็นอาสาสมัครช่วยผู้ประสบภัยสึนามิที่เขาหลัก จ.พังงา – Photo by Annop Nipitmetawee

กระบวนการในการช่วยเหลือสังคมของคนไทยเป็นอย่างไร? หลังสึนามิ

“ผมเชื่อว่าได้มีการตื่นตัวมากขึ้น มีคนอยากเป็นคนอาสามากขึ้น ผมเชื่อว่าหัวใจอาสาอยู่ในตัวคนทุกคน เพียงแต่รอเวลา รอโอกาสที่จะแสดงออก แต่ก็ยัง มีเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลจากไหน ผมมีโอกาสได้ไปเปิดนิทรรศการที่ราชภัฎอุตรดิตถ์ เป็นงานสาขาพัฒนาสังคม คณะมนุษยศาสตร์ คือหลายคนยังเข้าใจว่า งานพัฒนาสังคมจบแล้วทำงานอะไร? ไปรับราชการที่เทศบาล หรือ อบต. หรือ หน่วยงานรัฐ ซึ่งผมว่าไม่ใช่ ‘มันยังมีผู้ประกอบการทางสังคม’ ที่ทำงานด้านนี้อย่างที่เราๆ ทำอยู่ ไม่จำเป็นว่าจบแล้ว ต้องไปทำงานหรือรับราชการในท้องถิ่น ซึ่งยังมีอีกหลายองค์กรที่ทำงานด้านเด็ก ด้านสิทธิ อะไรต่าง ๆ อีกมากมายในพื้นที่ ถึงแม้จะไม่ใช่สาขาที่เรียนมาเท่านั้น เพียงแต่พวกเขาไม่รู้จักช่องทาง ที่จะติดต่อหรือเชื่อมข้ามมาถึงได้เลย

ความจริงมีนักศึกษาหรือผู้คนอีกจำนวนมาก ที่สนใจในงานประเภทนี้ เพียงแต่ขาดโอกาส และช่องทางในการเดินเข้าหา ไม่มีข้อมูล ซึ่งควรจะมีการประชาสัมพันธ์ หรือเปิดโอกาศให้ได้เข้ามาเรียนรู้ในโลกแห่งนี้ เช่น การปฐมนิเทศในสถาบันการศึกษา หรือการฝึกงาน เป็นการเปิดพื้นที่ให้นักศึกษาที่สนใจงานเพื่อสังคม โดยควรจะเริ่มตั้งแต่การปฐมนิเทศนักศึกษา ผู้ประกอบการเหล่านี้ควรที่จะเข้าไปเจาะกลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษา ให้ได้ มิเช่นนั้นเราจะสร้างคนจากตรงไหน เมื่อเกิดจากวิกฤติเหรอ? เอาช่องทางก่อน ช่องทางแรก นักศึกษาใหม่ ช่องทางที่สอง นักศึกษาฝึกงาน คือในรั้วกิจกรรมของมหาลัย กิจกรรมของค่ายแต่ละชมรมมันต่างกันอยู่แล้ว โดยไม่เชื่อว่าผู้ประกอบการทางสังคมอย่างเรา ๆ ที่จะเข้าสู่ระบบนั้นยาก ปลายทางที่อยากเน้นที่สุด คือนักศึกษาฝึกงานที่ต้องผ่านกระบวนการทางสังคมหรืองานสาธารณะ คือมีผู้ประกอบการทางสังคมเหล่านี้เป็นตัวเลือกเท่านั้น

เราเป็นผู้ประกอบการเราเป็นทางเลือก นั่นเขาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เขาอาจจะใช้เวลาว่างไปออกค่ายฯ ทำกิจกรรมอยู่ก็เป็นเรื่องที่ดี ค่ายฯ ทุกค่ายฯ สอนทั้งนั้น สอนให้เป็นคนดีของสังคม ไม่ใช่ไปก่อนค่อยว่ากัน ใช่ว่าไม่ดี แต่ในการผลิตของเราผู้ทำงานด้านสังคม น่าจะเริ่มจากจุดนั้น”

ความพร้อมในการเปิดพื้นที่ สำหรับคนหนุ่มสาวมีมากน้อยแค่ไหน?

“เราควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วน อย่างแรกที่มาฝึกงานก็ชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ส่วนที่ 2 คนที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก จะเป็นคนที่สนใจจริงๆ ถ้ามาจากการฝึกงาน ก็แปลว่าประสบผลสำเร็จ เป้าหมายองค์กร คือการต่อยอดเขา คือ บางคนเห็นแววการทำงานได้ดี อยากทำต่อ ก็ควรจะปูทางให้ ผมเชื่อว่าควรปูทางแล้วมีความพร้อมไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับองค์กรหรือหน่วยงานนั้น ผมตอบแทนไม่ได้”

ธนพลกล่าวในเรื่องนี้ว่า หัวใจสำคัญนั้นอยู่ที่น้อง ๆ เขา ถ้าน้อง ๆ เขาอยากทำ แต่รอให้พี่กระซิบ “สนใจไหมเท่านั้นเอง”

กับครอบครัวอบอุ่น (ปี 2560)

นับเป็นแนวคิดที่น่าสนใจของ ธนพล ทรงพุฒิ หรือ เอ กระจกเงา ที่เกี่ยวกับงานพลังหนุ่มสาว กับช่องทางในการในการเดินสู่ถนนสายสังคมร่วมกัน และกระบวนการจัดการที่ดี ถนนสายนี้จะไม่ใช่ทางเดินที่ว่างเปล่า และเดินทางมาอย่างลำบากยากเย็นอีกต่อไป ไม่ใช่รอสภาวะวิกฤติแล้วค่อยออกมารวมพลัง

แต่เราควรจะพร้อมทุกเมื่อ พร้อมทุกสภาวะ ที่จะไป และไปโดยไม่มีเงื่อนไข…

20 มิถุนายน 2550