Photo from Facebook: หอมกลิ่นดินแผ่นดินไทย The smell of Thai soil

ช่วงนี้ฝนตกชุกทั้งวันและทุก ๆ วัน เด็ก ๆ หยุดการละเล่นไว้ชั่วคราว ต่างหันหน้าเข้าหาอาหารจากท้องน้ำ ประเภท ปลา ปู กบ หอย หรือผักสดอื่น ๆ เรารอให้ถึงวันเสาร์กันเร็ว ๆ จะได้เตรียมทีมออกล่าปลากัน อุปกรณ์ประกอบไปด้วย มอง (ตาข่าย) เบ็ดคัน เบ็ดด้าม ข้อง และกระป๋องบรรจุไส้เดือน

ผมและพี่ชายแบกสัมภาระออกสู่ทุ่งกันสองคน เมื่อถึงจุดน้ำไหล เรากางมองทอดยาวขนานลำน้ำไว้ จากนั้นพี่ชายผมเริ่มปักเบ็ด โดยเลือกปักบนคันนา ระยะห่างประมาณ 10 ก้าวเล็ก ๆ ของเรา แหวกหญ้าเป็นช่องไว้ เพื่อเวลาปลาติดเบ็ดจะได้ไม่ดึงไปพันกับกอหญ้า ผมมีหน้าที่ตามเกี่ยวเหยื่อ โดยหยิกให้ไส้เดือนขาดจากกันยาวประมาณ 1 นิ้ว นำชิ้นส่วนไส้เดือนเกี่ยวเบ็ด แล้วปล่อยลงน้ำ ใช้นิ้วกลางเกี่ยวนิ้วโป้งดีดน้ำ 2-3 ครั้ง (เป็นสูตรเฉพาะ ไว้เรียกปลา 5555) ทำไปเรื่อยจนหมดเบ็ด เราก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น

เราเก็บดอกชบาสีแดงสดมาด้วย ผมเกี่ยวดอกชบากับเบ็ดด้ามยาว หาหินก้อนเล็กมาผูกถ่วงไว้ที่สายเบ็ด เพื่อให้มีน้ำหนัก เราเริ่มออกเดินหย่อนเบ็ดไปเรื่อย ไม่นานเลย กบตัวอ้วนก็ติดเบ็ดเรา จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม สี่ ห้า เรื่อยไป เวลาผ่านไปจนสาย เราวกกลับมายาม (ตรวจดู) มองที่ลงไว้ แค่ยกเชือกขึ้น โอ้โห! ขาวพราวไปหมด ปลาตะเพียนตัวเล็ก ๆ ประมาณ 2-3 นิ้ว (เราเรียกปลาขาวหางแดง) ติดเต็มไปหมด เราช่วยกันแกะออกจากเนื้อมอง เพียงยังไม่เพล ปลาที่ได้ก็ปริ่มปากข้องแล้ว พี่ชายต้องกลับไปที่บ้าน ให้แม่ทำอาหารก่อน เพราะปลาพวกนี้ตายง่ายจะเน่าเร็วมาก เดี๋ยวเนื้อไม่อร่อย ช่วงที่รอพี่ชายผมก็เดินตรวจเบ็ดที่ลงไว้ แหม!! มันน่าชื่นใจจริง ๆ เกือบทุกคันจะลู่ลงหมดเลย แสดงว่ามีปลากินเบ็ดเยอะมาก

พี่ชายกลับมาพร้อมห่อข้าวกลางวัน ผมนั่งกินเงียบ ๆ ข้าวสวย กับ ปลาร้าสับ แกล้มกับผักแพงพวย ผักแว่น ที่เก็บจากแถวนั้น มันช่างอร่อยสุด ๆ จริง ๆ พี่ชายเดินไปปลดปลาจากเบ็ด เสียงโอ้โห! อ้าหา! ดังอยู่เกือบตลอดเวลา ชั่วผมอิ่มข้าว พี่ชายก็แบกข้องหลังแอ่นกลับมา ปลาช่อน ปลาดุก ปลาหมอ เกือบเต็มข้อง ฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น เราตกลงเก็บมอง เก็บเบ็ด กลับบ้าน ช่วงเวลาไม่นานนัก ยังมีปลามาติดมองอีกมากพอดู วันนั้น เราหามปลากันกลับจนหลังแอ่น

ธงเบ็ด หรือ ปักเบ็ด เพื่อให้ปลามากิน

พ่อกลับมาจากไปธุระต่างหมู่บ้าน ปล่อยม้ากินหญ้าในสวน เดินเข้ามาดูปลาฝีมือสุดสวาทสองหน่อ ยิ้มปลื้ม “เก่งเหมือนพ่อเลย 555” วันนั้น พ่อสอนทำพล่าปลาขาว กรรมวิธีก็ไม่ยาก จับปลาขอดเก็ด ตัดหัวออกเก็บไว้ ดึงขี้ดึงไส้ทิ้งให้หมด ใช้มีดหนา ๆ หน่อย ทุบปลาให้แบน แล้วสับทั้งก้างให้ละเอียด กะปริมาณพอดีกิน เอาเนื้อปลาที่ได้ไปรวนให้สุก เหยาะน้ำปลาร้า พริกป่น หอม-ผักชีหูกระต่ายซอย ใบมะกรูดซอยละเอียด ข้าวคั่ว น้ำมะกรูด (จะหอมกว่าใช้มะนาว) ส่วนหัวปลาที่ตัดไว้ เอาไม้เสียบย่างไปพอกรอบเกรียม เวลากิน ตักพล่าใส่ปาก ตามด้วยหัวปลาปิ้ง ใบมะตูมอ่อน หรือใบช้าพลูเป็นผักแนม เจ้าประคุณเอ๊ย!!!!! สวรรค์ดี ๆ นี่เอง

ปลาขาวที่เหลือ แม่เอามาทำปลาส้ม เก็บไว้กินวันหลัง ซึ่งวิธีทำก็ง่าย ๆ เริ่มจากขอดเกล็ด ตัดหัวทิ้ง ทำความสะอาด ทิ้งให้หมาดน้ำ ตำเกลือ กระเทียม ข้าวสวย นำมาคลุกกับปลาขาวที่เตรียมไว้ให้เข้ากัน ก่อนนำไปหมักในโหลต่อไป หากอากาศไม่เย็นมาก เพียง 3 วันก็ได้กินแล้ว จนแม้เมื่อผมโตมาขนาดนี้ ก็ยังไม่เคยมีปลาส้มที่ไหนจะทำอร่อยได้เหมือนที่แม่ผมทำเลยครับ เป็นไปได้ว่าในอาหารที่แม่ทำนั้น แม่เอาใจใส่ลงไปด้วย มีความรัก และ ความปรารถนาดี เป็นชูรส แล้วผมจะหาอาหารที่ไหน อร่อยได้เท่านี้อีกละครับ…

ทิดโส โม้ระเบิด