
Photo by ร้านพระเครื่อง “วังไทรกรุ๊ป”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พระอาจารย์หนู หรือ ขรัวตาหนู วัดโพธิ์ พระนคร พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวจังหวัดสุรินทร์ เชื้อสายส่วย จาริกธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดโพธิ์ กรุงเทพมหานคร เล่ากันว่าท่านมาพักรักษาตัวอยู่ที่วัดโพธิ์แห่งนี้ ช่วงก่อนเกิดสงคราม ผู้คนต่างรู้จักว่าท่านเป็นพระหมอดู ด้วยท่านดูฤกษ์ยามและข้าวของหายได้ ทั้งทำนายทายทักได้แม่นยำ
ปกติทุกวันท่านจะไม่ค่อยออกไปจากกุฎิพบปะพูดคุยกับพระสงฆ์รูปอื่น แต่ชอบเก็บตัวเงียบอยู่ภายในกุฏิ เพื่อทบทวนวิชาและปฏิบัติพิธีกรรมทางไสยศาสตร์แต่ผู้เดียวลำพัง ภายในกุฏิจะเต็มไปด้วยโต๊ะบูชาและเครื่องเซ่นต่าง ๆ ตามพิธีกรรม บรรยากาศภายในกกุฏิดูเงียบสงบ วังเวง ดูน่ากลัว หากไม่มีความจำเป็นก็จะไม่มีใครอยากเข้าไปภายในกุฏิของท่าน แม้แต่เดินผ่านก็ไม่มีใครอยากเดินผ่านเข้าไป เพราะลือกันว่าพระอาจารย์หนูท่านเลี้ยงผีเอาไว้ ชาวบ้านต่างลือว่าท่านมีวิชาดีจึงมีคนพากันไปขอให้ท่านทำวัตถุมงคลให้
เมื่อปี 2484-2585 ช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามอินโดจีน ประเทศไทยส่งทหารเข้าร่วม ตลอดจนเป็นช่วงเวลาที่กองกำลังญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยหลายแห่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงส่งเครื่องบินเข้ามาทิ้งระเบิดถล่มตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในประเทศไทยหลายจุดเพื่อเป็นการตัดกำลังฝ่ายอักษะ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร สภาพทั่วไปของบ้านเมืองเต็มไปด้วยซากหักพังของการทิ้งระเบิด มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ผู้คนล้วนตกอยู่ในความหวาดกลัว พระเกจิอาจารย์ต่าง ๆ จึงพากันสร้างวัตถุมงคลแจกจ่ายเพื่อเป็นการปลอบขวัญ เป็นขวัญกำลังใจแก่ทหารและประชาชนกันมาก รวมทั้ง พระอาจารย์หนู ก็ได้คิดสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายชาวบ้านนำไปบูชาคุ้มครอง

Lucien Fournereau ค.ศ. 1891

Wikimedia Commons / Pearl of Asia
พระอาจารย์หนู เป็นพระเกจิที่เชี่ยวชาญทางด้านไสยศาสตร์ของเขมรมาก การสร้างพระเครื่องของท่านทำแบบพิสดาร ผิดแปลกไปจากการสร้างพระเครื่องของพระเกจิอาจารย์ทั่ว ๆ ไป
ด้วยท่านเห็นว่าเวลานั้นมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งตายจากภาวะสงครามและโรคห่าระบาด วิญญาณบางดวงยังไม่ถึงที่ตายก็มีมาก เรียกว่าตายก่อนกำหนดด้วยกรรมตัดรอน วิญญาณเหล่านี้ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้ทันที ด้วยยังไม่ถึงกำหนดเวลาหมดอายุขัยจริง วิญญาณบางดวงยังมีความโกรธแค้นดุดัน บ้างไปเข้าสิงผู้คนสร้างดวามเดือดร้อนซ้ำซ้อนอีก
กล่าวคือ พระอาจารย์หนู ได้นำเอา ผงอัฐิ หรือ ขี้เถ้ากระดูกของคนตาย โดยจะเก็บรวบรวมผงเถ้าอัฐิจากเชิงตะกอน วัดสระเกศ (ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดโพธิ์) มาสร้างเป็นองค์พระ โดยผสมกับผงวิเศษ 5 ประการ ได้แก่ ผงพุทธคุณ ผงปฐมัง ผงเมตตา ผงตรีนิสิงเห และ ผงมหาราช และว่านอาถรรพ์ต่าง ๆ อาทิ ว่านโพง ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าว่าน “ว่านกระสือ” นำวัตถุอาถรรพ์เหล่านี้มาบดละเอียดคลุกเคล้าจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้วนำมากดพิมพ์เป็นพระเครื่อง โดยก่อนนำมากดพิมพ์ ท่านได้สะกดดวงวิญญาณเหล่านั้นแล้ว ซึ่งทุกขั้นตอนตั้งแต่การผสม การบด การตำ การกดพิมพ์ ท่านได้กระทำแต่ผู้เดียวเพราะจะต้องบริกรรมคาถาตลอดเวลาที่กระทำ เมื่อได้พระจำนวนหนึ่งแล้ว พระอาจารย์หนูได้นำไปปลุกเสกภายในกุฏิตามลำพังอีกรอบ
เมื่อแรกที่นำ พระผงกระดูกผี ออกแจกจ่ายไม่ค่อยมีคนอยากมารับเพราะหวาดกลัวในมวลสาร จะมีก็เฉพาะลูกศิษย์เท่านั้นที่กล้าไปรับ ผ่านไปไม่นานนักพระชนิดนี้ได้ก่อปาฏิหารย์ด้านคุ้มครองอย่างแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอันตรายขึ้นมาหลายครั้งจากการทิ้งระเบิด ผู้ทราบข่าวจึงแห่กันมาที่วัดเพื่อมาขอพระและคราวนี้มาโดยไม่หวาดกลัวเหมือนคราวก่อน เมื่อพระกระดูกผีมีไม่เพียงพอ พระอาจารย์หนูท่านจึงได้สร้างขึ้นมาอีกครั้งโดยได้รวบรวมมวลสารขึ้นมาอีกรอบ โดยเมื่อพอกดพิมพ์เสร็จก็ปลุกเสกกันเลยแล้วแจกจ่ายแก่ชาวบ้านทั้งที่พระยังหมาด ๆ แห้งไม่สนิท เรื่องอิทธิปาฏิหารย์พระเครื่องกระดูกผีมีให้เล่ากันตลอดและมีความแปลกประหลาดด้านคุ้มครองอย่างมากมาย

Photo by ร้านพระเครื่อง “วังไทรกรุ๊ป”

Photo by ร้านพระเครื่อง “วังไทรกรุ๊ป”
ชาวบ้านได้รับพระเครื่องนี้ไปต่างมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย ที่เล่าขานสืบต่อกันมา โดยเฉพาะถ้าเดินทางไปในที่ต่าง ๆ มักจะมีคนรอบข้างเห็นว่ามีคนติดตามมาเป็นจำนวนมาก และแคล้วคลาดจากอันตรายอย่างไม่คาดคิด หรืออธิฐานเรื่องค้าขายติดต่อการงานก็สำเร็จโดยง่ายดาย
พระผงกระดูกผี วัดโพธิ์ มีคุณเด่นด้านคุ้มครองป้องกันตัว มีอยู่ในบ้านขโมยเข้ามายังสติฟั่นเฟือนไปเลย เพราะพระเครื่องของท่านนั้นเฮี้ยนมาก เห็นผลกันทุกราย ถ้าท่านผู้ใดมีพระผงกระดูกผีของแท้ไว้ก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้าของเถ้ากระดูกบ้าง จะได้โชคลาภสมปรารถนา
คาถา กำกับองค์พระ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)
พุทธัง นิมิตตัง ธรรมมัง นิมิตตัง สังคัง นิมิตตัง
