ประวัติ หลวงพ่อโทน
พระครูพิทักษ์วิหารการ หรือ หลวงพ่อโทน วัดวังโพรงเข้ ได้เขียนบันทึกชีวประวัติของตัวเอง ความดังนี้
เจริญพร ท่านขจิต มหานีลานนท์
การที่ท่านขอร้องให้อาตมาภาพ เขียนประวัติตัวเอง บอกตรง ๆ ว่าหนักใจมิใช้น้อย แต่เมื่อท่านกล้าขอ ก็จำต้องกล้าให้ และกล้ารับรองว่าเขียนได้ แต่ไม่กล้ารับรองว่าเขียนดี เรียนเชิญท่านอ่านและพิจารณาเอาเอง
เจริญพร
- อาตมาภาพ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ 22 มกราคม 2503 ที่บ้านวังโพรงเข้ ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัลพบุรี
- อุปสมบท เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2523 ที่พัทธสีมา วัดวังหัวแหวน ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เจ้าอธิการหอม เขมิโย วัดหนองชนะชัย เป็นพระอุปัฌชาย์ พระหนูอาน ติสสะเทโว วัดหนองชนะชัย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการสวาท สาทโร วัดวังหัวแหวน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
การศึกษาด้านคันถธุระ
- ปี 2525 จบนักธรรมชั้นเอก
การศึกษาด้านวิปัสสนาธุระ
- ปี 2524 ออกธุดงควัตรเจริญรอยตามพระอุปัฌชาย์ (หลวงปู่หอม) และศึกษาวิปัสสนาธุระกับ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล
- ปี 2526 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับ พระสุพรมญาณเถระ วัดพระพุทธบาทตากผ้า
- ปี 2526 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดถ้ำขาม
- ปี 2528 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับ หวลงปู่ชา สุภัทโธ วัดหนองป่าพงษ์
- ปี 2531 ศึกษาวิปัสสนาธุระกับ หลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง
- ปี 2535 ศึกษาวิปัสสนาเชิงปรัชญากับ ท่านพุทธทาสภิกขุ วัดสวนโมกข์
- ธุดงควัตรนาน 16 ปีจาริกสัญจรไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย และจาริกไปยังต่างประเทศ มี ลาว เขมร พม่า จีน อินเดีย เนปาล หยุดสร้างวัดเมื่อปี 2541 ตามคำขอร้องของญาติโยม
ตำแหน่งทางการปกครอง
เป็นเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ เมื่อปี 2528 (เป็นเจ้าคณะตำบลเกาะแก้วสืบต่อจากหลวงปู่หอม ปี 2546)
สมณศักดิ์
เพื่อนสหธัมมิกะ ยัดเยียดพระครูฐานาให้ เมื่อปี 2546 ที่พระครูวินัยธร
อุปนิสัย
ชอบอยู่ในที่สงบ ท่องไปในโลกกว้างคนเดียว ไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ เสร็จภาระกิจสร้างวัดให้สมบูรณ์ตามที่ญาติโยมขอร้องแล้ว ยังปรารถนาที่จะท่องไปในโลกกว้างเหมือนเช่นที่ผ่านมา
คติธรรมประจำใจ
ช่างกะลาหัวมัน ใครจักใคร่ดี ดีไป ใครจักใคร่เลว เลวไป อุปนิสัยจริง ๆ ชอบความเป็นปัจเจก แต่เมื่ออยู่ในสังคมเขตคามวาสี ก็จำต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ ทำเป็นทุกอย่างที่พระ คามวาสีเขาทำ เช่น แสดงธรรม บรรยายธรรม ปาฐกถา ดูหมอ ต่อชะตา เจิมรถ รดน้ำมนต์ ทำเครื่องรางสร้างวัตถุ ฯลฯ
โอวาทประทับใจ
- พระศาสดา
ผู้ใดมีสติสำรวมระวังจิตอยู่เสมอ ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงแห่งมาร - พระอุปัฌชาย์
ทำอะไรให้ก้าวไปข้างหน้า ล้าให้หยุดอยู่กับที่ ถ้าถอยหลับเมื่อไหร่ทำครั้งใหม่ก็ถอยอีก ไม่มีวันสำเร็จ - หลวงปู่ขาว อนาลโย
มองให้เห็นตัวเจ้าของก่อน (ตัวเอง) ค่อยไปมองให้เห็นตัวคนอื่น - ครูบาพรมจักร
ทำจริง เห็นของจริง รู้ของจริง ได้ของจริง พบความจริง ทำเล่น เห็นของเล่น รู้ของเล่น ได้พบของลวง เป็นคนลวง - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
ไม่มีคำว่าเปล่าประโยชน์สำรับผู้ที่ทำจริง ทำถูกต้อง โทษภัยทั้งหลายทำอันตราย ผู้ที่ทำจริงทำถูกต้องไม่ได้ ถ้าโทษภัยยังทำอันตรายได้อยู่ แสดงว่าทำจริง แต่ทำไม่ถูก ความถูกต้องอยู่ที่ไม่มีโทษ ไม่ใช้อยู่ที่คิดเอา เข้าข้างตัวเอง - หลวงปู่ชา สุภัทโธ
กายอยู่ที่ใหนใจต้องอยู่ที่นั้น อย่าเอาใจไปไว้กับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสอารมย์ หรือวัตถุสิ่งของ ใจกับกายอยู่ด้วยกันตลอดเวลานาทีเมื่อไหร่ พ้นทุกข์เมื่อนั้น - หลวงพ่อฤษีลิงดำ
คนคือสัตว์ประเสริฐ พระคือผู้ประเสริฐสุด จงทำตัวให้ประเสริฐสมกับที่เกิดมาเป็นคนเป็นพระ - ท่านพุทธทาสภิกขุ
จงยึดในสิ่งที่ควรยึด จงวางในสิ่งที่ควรวาง เกิดเป็นคนมีการศึกษา คงไม่โง่ขนาดไม่รู้ว่าอะไรควรยึด อะไรควรวาง ปล่อยวางธุระภาระ แต่อย่าปล่อยประ ภาระธุระ (ทำไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด แต่อย่ายึดมั่นถือมั่น คนไม่มีภารธุระไม่มีในโลก แม้พระอรหันต์ท่านก็มีภาระธุระแต่ท่านไม่ยึดติด)
ประวัติการเดินธุดงค์
หลังจากที่อาตมาธุดงค์จาริกจาก วัดพระพุทธบาทตากผ้า มุ่งหน้าสู่ถ้ำขามเพื่อกราบนมัสการ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และได้อยู่ศึกษาวิปัสสนาธุระกับหลวงปู่เทสเป็นเวลาเดือนเศษ ก็กราบลาหลวงปู่เทสก์ ออกธุดงค์จาริกต่อ ก่อนไปหลวงเทสให้สมุดเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นรูปดารา พิสมัย วิไลศักดิ์ ยื่นให้แล้วท่านก็พูดว่า “ใบผ่านแดน”
รับสมุดจากหลวงปู่แบบงง ๆ แล้วก็ออกเดินธุดงค์จาริกมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ เดินไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมายปลายทางใด ๆ ทั้งสิ้น ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั้น จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่นอน ไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเวลา
เดินอยู่เกือบ 2 เดือนก็เจอด่าน จากการแต่งตัวของนายด่านก็ทำให้รู้ว่าเป็นด่านเขตแดนของประเทศจีน ส่งภาษาใบ้กับนายด่านครู่หนึ่งก็รู้ว่าเขาไม่ให้เข้า จึงต้องเดินย้อนกลับหลัง ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่าหลวงปู่เทสก์ให้สมุดมาเล่มหนึ่งซึ่งท่านบอกว่าเป็นใบผ่านแดน แสดงว่าสมุดเล่มนี้ต้องไม่ธรรมดา จึงเดินย้อนกลับมายื่นสมุดให้นายด่าน เขารับไปเปิดดูทำหน้างง ๆ แล้วส่งให้เพื่อนดูต่อ 2-3 คน เขามองหน้ากันแล้วก็ส่งภาษาใบ้ให้อาตมาเข้าไปในดินแดน ประเทศจีนได้ จึงได้มีโอกาสธุดงค์จาริกในแผ่นดินใหญ่ ด้วยอำนาจจิตญาณของหลวงปู่เทสก์
กว่าสิบวันบนแผ่นดินจีน ธุดงค์ผ่านไปหลายหมู่บ้าน จนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นมีธงชาติไทยติดอยู่ที่หน้าบ้าน รู้สึกแปลกใจมาก เมื่อมีคนเดินส่วนทางมาจึงถามว่า โยมฟังภาษาไทยรู้เรื่องไหม แทนที่เขาจะตอบเขากลับหันไปตะโกนบอกคนอื่น ๆ ยิ๊ว ตุ๊เจ๊าไตยลัง ๆ ๆ (เฮ้ย ตุ๊เจ้าไทยล่าง) ฟังดูก็รู้ว่าเป็นสำเนียงไทยภาคเหนือ
จากการได้สนทนากับชาวบ้านแห่งนั้น จึงได้รู้ว่าเป็นชนชาติไทยที่ตกค้างเมื่อกว่าพันปีที่ผ่านมา สนทนาอยู่กับชาวบ้านหลายชั่วโมง จึงขอตัวหาที่พักปักกรด ชาวบ้านจึงพาไปที่ถ้ำอรหันอัลไต ที่ภูเขาอัลไต มลฑณยูนนานประเทศจีน อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตร ภายในถ้ำสะอาดกว้างขวาง มีพระพุทธรูปศิลปะจีนกว่า 10 องค์
เมื่อชาวบ้านกลับไปแล้วก็จัดการกับสถานที่อยู่พักหนึ่งจึงเข้าที่เจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรทางจิต เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางเอาไว้ เวลาผ่านไปพักใหญ่ก็รู้สึกว่ามีแสงสว่างวาบขึ้นภายในถ้ำผ่านม่านตาเข้ามา ไม่มีเสียง มีแต่แสง รู้สึกประหลาดใจจึงลืมตาขึ้นดู เห็นแสงมาจากขวดน้ำผึ้งที่ชาวบ้านถวายไว้เมื่อตอนเย็น เห็นมีก้อนสีดำ ๆ ประมาณนิ้วหัวแม่มือ ดูมันวาววับเรืองแสงประกาย 4-5 ก้อน อยู่ในขวดน้ำผึ้ง มันตัวอะไร?
ด้วยความสงสัยจึงลุกขึ้นจะไปดูใกล้ ๆ แต่พอมองเห็นฝาขวดที่ยังปิดสนิทแน่นอยู่ ขนก็ลุกไปทั้งตัวจนก้าวขาไม่ออก เข้าไปได้ยังไง? จ้องมองวัตถุประหลาดตาไม่กระพริบ และเห็นน้ำผึ้งในขวดยุบลง ๆ จนหมดขวด พอน้ำผึ้งหมดขวด เจ้าวัตถุประหลาดก็ลอยวาบหายเข้าไปในผนังถ้ำ พอตั้งสติได้ก็จุดเทียนส่องดูที่ผนังถ้ำตรงวัตถุประหลาดลอยหายเข้าไป ก็ไม่เห็นมีรูมีโพงอะไรเลย ขนลุกซู่อีกครั้ง จนต้องเดินถือเทียนมานั่งข้าง ๆ พระพุทธรูปองค์หนึ่ง ด้วยความหวาดกลัว นั่งคิดสับสนวนเวียนไปมาอยู่นานแค่ไหนประมาณไม่ถูก จนรู้สึกอ่อนล้า
ขณะนั้นก็ได้ยินเสียงคนหัวเราะ หึ ๆ ตกใจขยับตัวจนเบียดพระพุทธรูปอย่างลืมตัว พลันหูก็แว่วได้ยินเสียงคนหัวเราะ หึ ๆ อีก ที่นี้จำได้ว่าเป็นเสียงหัวเราะของ หลวงปู่เทสก์ ขนที่ลุกพองด้วยความตกใจกลัวก็กลายเป็นขนพองด้วยความปิติอบอุ่นใจ จึงยกมือประนมขึ้นเหนือหัวรำลึกถึงคุณหลวงปู่เทสก์ สุดลมหายใจเข้าออกจนเต็มปอด แล้วเอื้อมมือไปลูบคลำพระพุทธรูป ทันใดนั้นพลังแห่งพุทธานุภาพก็แผ่ซาบซ่านส์เข้าสู่ดวงจิต
ก้มกราบองค์ปฏิมากร 3 ครั้ง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างทระนง แล้วเดินกลับมาเข้าที่เจริญภาวนา พร้อมที่จะปะทะเผชิญหน้ากับทุกรูป ทุกนาม ทุกพลังงานที่มีอยู่ในถ้ำแห่งนี้ นั่งภาวนาไปได้พักหนึ่ง จิตก็หลับนิ่งสนิทแล้วนิมิตฝันไปว่า
เมื่ออดีตกาลนานนับประมาณไม่ได้ มีนักพรต 4 ตน เป็นสหธรรม ร่วมบำเพ็ญเพียรหลีกออกจากความวุ่นวาย ขวนขวายแสวงหาซึ่งสันติสุข ขอเรียกนักพรตเหล่านี้ว่า ฤาษี ตามคำนิยม
ฤาษีทั้ง 4 ตนฝึกฝนอบรมจิตจนบรรลุรูปฌาน 4 มองเห็นสภาวะจิตเป็นสิ่งที่ดิ้นรน เร้าร้อน กระสับกระส่าย เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ฤาษีทั้ง 4 ตนเกิดความเบื่อหน่ายในสภาวะจิตอย่างแรงกล้า จึงใช้กำลังแห่งองค์จตุตถฌาณ ประหารเสียซึ่งจิตตะ สังขาร ดับเจตสิกที่คอยปรุงแต่งจิตให้สิ้นไป เวทนาทั้งหลายที่เป็นสายแห่งความสุข และเวทนาที่เป็นกองแห่งความทุกข์ ทั้งเวทนาที่เป็นกลางคืออุเบกขาพลอยดับไปด้วย เพราะขาดการปรุงแต่งของจิตเจตสิก
แม้ดับจิตตะสังขารสิ้นแล้ว ฤาษีทั้ง 4 ตน ยังกังวลวุ่นวายหน่ายในสัญญา คือความจำได้หมายรู้ จึงกำจัดเสียซึ่ง จิตตะสัญญา เป็นวิธีการดับทุกข์ที่ไม่ถูกทาง เป็นความผิดพลาดที่ไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยก็ว่าได้ เพราะการดับจิตตะสังขารก็เหมือนรถยนต์ที่สตาร์ทเครื่องปลดเกียร์ว่างไว้ ไม่มีคนขับ การดับจิตตะสัญญาก็เหมือนรถยนต์ที่ดับเครื่อง รถยนต์ที่ไม่มีคนขับ แถมดับเครื่อง กลไกต่าง ๆ ของรถจึงหยุดการทำงาน กลไกของชีวิต เมื่อจิตตะ สังขาร และจิตตะสัญญาดับ การงานทางกาย การงานทางใจจึงหยุดนิ่ง เหมือนรถที่ไม่มีคนขับแถมดับเครื่องฉันนั้น เมื่อการงานทางใจหยุดนิ่ง การบำเพ็ญเพียรเพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้นจึงไม่มี เมื่อการงานทางกายหยุดนิ่ง การบริหารร่างกายด้วยอิริยาบถ ด้วยน้ำ ด้วยอาหารจึงไม่มี ไม่นานกายสังขารของฤาษีทั้ง 4 ตน ก็ดับสลายเพราะขาดปัจจัยไปหล่อเลี้ยง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ จึงจุติสู่ภูมิใหม่ต่อไปในรูปภพ และมีรูปกายผิดแผกแตกต่างจากสัตว์เหล่าอื่นที่จุติในรูปภพเหมือนกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นโลกวิทู ผู้รู้แจ้งโลก อุบัติขึ้น ทรงเห็นสัตว์เหล่านี้มีเพียงรูปขันธ์และวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เหมือนสัตว์เหล่าอื่น จึงทรงเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า อสัญญีสัตว์ คือสัตว์ที่ไม่มีสัญญาความจำ ต่อมาพระสาวกรุ่นหลังผู้ได้นามว่าพระอรรถกถาจารย์ ตามดูรู้เห็นสัตว์เหล่านี้มีรูปร่างคล้ายฟักจึงเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า พรหมลูกฟัก (คนไทยที่พบเห็นสัตว์เหล่านี้แต่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิต จึงรู้จักสัตว์เหล่านี้ในนามโลหะที่มีฤทธิ์มากชนิดหนึ่งเท่านั้น) ฤทธิ์หรือกำลังฌานของอสัญญีสัตว์อยู่เหนือสิ่งทำลายล้างทั้งหลายในรูปภพ ไม่มีอาวุธ ไม่มีเครื่องจักรกล ไม่มีเคมี ไม่มีไวรัสชนิดใดจะทำลายล้างรูปกายอสัญญีสัตว์ได้ อสัญญีสัตว์จึงมีชีวิตที่ยืนยาวนานกว่ากัลป์ นานกว่าอสงไขย (อสงไขยแปลว่านับไม่ได้) จึงเป็นชีวิตอจิณไตยที่พุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ว่าจะถึงที่สุดของชีวิตเมื่อใด
พอรุ่งอรุณวันใหม่จึงคิดทบทวนความฝัน และสำรวจหาร่องรอยฤาษีทั้ง 4 ตน ก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่น่าจะมีร่องรอยให้เห็น คือที่ทิ้งเศษอาหารบริเวณหน้าปากถ้ำ เมื่อเดินออกมาสำรวจดูตรงที่หมายในฝัน ก็เห็นหินกลุ่มหนึ่งมีลักษณะเหมือนเศษผลไม้นานาชนิดชัดเจน ว่างเรียงอัดทับช้อนกันอยู่แน่นหนา พอเอื้อมมือไปจับดูก็สัมผัสถึงพลังฌานอันมหาศาลของฤาษีทั้ง 4 ตน จึงเดินจงกรมในบริเวณหินกลุ่มนั้นเพื่อสัมผัสอุ่นไออดีตอันไกลโพ้นของนักพรตฤษีฎาบสทั้ง 4 ตนนั้น
เดินจงกรมอยู่พักใหญ่ก็มีรถวิ่งเข้ามา 2 คัน เป็นรถชาวบ้านที่นำภัตตามาถวายจึงบอกให้เขาจัดถวายตรงนี้ โดยให้เหตุผลเป็นนัย ๆ ว่าตรงนี้มีอาหารทิพย์ อาตมาอยากจะฉันตรงนี้ ชาวบ้านเขาก็จัดถวายตามใจประสงค์ เมื่อเขาถวายแล้วก่อนลงมือฉันก็บอกให้ชาวบ้านพิจารณาดูหินกลุ่มนี้ เขาก็พากันดูและพูดคุยกันโขมงโฉงเฉง รู้เรื่องบาง ไม่รู้เรื่องบาง แต่ก็พอจับใจความได้ว่าแต่ละคนก็เห็นเป็นรูปเศษผลไม้นานาชนิดเหมือนกัน
เมื่อฉันภัตตาหารให้พรเสร็จก็บอกชาวบ้านว่า พรุ่งนี้เมื่อมาถวายบิณฑบาตรอีก ก็ให้เอาเครื่องมือสกัดหินมาด้วย อาตมาอยากได้หินผลไม้กลุ่มนี้ เขาถามว่าจะเอาไปทำไม ก็บอกเขาว่าเป็นหินวิเศษ อธิฏฐานให้ดีเป็นยารักษาโรคได้ ป้องกันอันตรายได้ หากเดินทางไกลไม่มีอาหารกินอมหินนี้ไว้ จะไม่หิวไม่เมื่อย จนกว่าจะถึงบ้านหรือจนกว่าจะถึงที่มีอาหาร (ครั้งที่อาตมาธุดงค์ไปอินเดียก็ได้เศษอาหารล้านปีของฤาษีนี้แหละ เพราะไม่มีอาหารฉันถึง 13 วัน)
เขาทำหน้างง ๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงบอกเขาว่าลองน้อมจิตระลึกนึกถึงคุณของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเศษอาหารล้านปีนี้ดูซิ แล้วค่อยจับดู ทุกคนทำตามที่บอกแล้วจับดู บางคนก็บอกว่าร้อน บางคนก็บอกว่าเย็น บางคนบอกว่าดูดเหมือนแม่เหล็ก บางคนบอกว่าเฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไรเลย
พอเห็นปรากฎการณ์เช่นนั้น ชายเจ้าของรถกับพวกอีก 2 คนก็ขึ้นรถกลับไปเอาเครื่องมือที่บ้านโดยไม่รอวันพรุ่งนี้ตามที่อาตมาสั่ง สักพักก็กลับมาพร้อมเครื่องมือสกัดหิน วันนั้นทั้งวันเลยไม่เป็นอันทำสมาธิเพราะเสียงชาวบ้านสกัดหินรบกวน และมีคนในหมู่บ้านดังกล่าวตามมาอีกหลายสิบคน พอใกล้ค่ำเศษอาหารล้านปีก็หมดเกลี้ยง ก่อนชาวบ้านเขากลับไปก็สั่งให้เขาบดหินนั้นไว้ให้ พอกลับประเทศไทยจะแวะไปเอา
อาตมาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่ถ้ำอรหันต์อัลไตเป็นเวลา 7 วัน เหตุที่อยู่กับที่ถึง 7 วันก็เพราะอยากจะช่วยฤาษีทั้ง 4 ตนให้วกกลับเข้าสู่เส้นทางพระนิพพาน เพราะการดับได้แล้วซึ่งเวทนาสัญญาสังขารก็น่าจะวกเข้าสู่พระนิพพานในชั้นสุทธาวาสได้ พยายามอยู่ 7 วัน ก็รู้ด้วยใจว่าสัตว์เหล่านี้แม้พระพุทธเจ้าก็โปรดไม่ได้ เพราะสัญญาความจำเขาดับสนิทแล้ว ไม่เหมือนวิสัญญีสัตว์ที่เข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติ หรือสัตว์ที่ถูกวิสัญญีแพทย์วางยา ก็ยังมีกำหนดเวลาที่สัญญาจะกลับคืนมา ส่วนอสัญญีไม่มีโอกาสที่สัญญาจะกลับมาได้อีกแล้ว แต่สัตว์เหล่านี้ก็มีกำลังฌานที่เป็นอัตโนมัติ หากดีดตัวไปที่ไดก็จะดีดตัวกลับมาที่เดิม หรือบุคคลไดได้ครอบครองสัตว์เหล่านี้ หากมีบุคคลอื่นมานำสัตว์นี้ไปที่ไหนก็ตาม สัตว์นั้นก็จะดีดตัวกลับมาหาบุคคลเดิมได้โดยอัตโนมัติ
อีกประการหนึ่งหากอสัญญีสัตว์ตนใดบำเพ็ญกสิณไฟ หากนำธาตุที่เป็นฟอสฟอรัสเข้าใกล้ก็จะถูกกำลังเตโชกสิณฌานของอสัญญีสัตว์ดึงดูดไปร่วมตัวเป็นหนึ่งเดียวจนหมดสิ้น หรืออสัญญีสัตว์ตนไดบำเพ็ญอาโบกสิณ รูปกายจะคล้ายหยดน้ำ หากเอารูปกายสัตว์นั้นใส่ในน้ำที่กำลังเดือด น้ำนั้นก็จะหยุดเดือดและเย็นปานน้ำแข็งทันที่
อีกประการหนึ่งเป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จุติในในรูปภพ ระดับชั้นแห่งมนุษภูมิ หรือระดับชั้นที่เป็นกลางระหว่างมนุษย์ภูมิและเทวะภูมิ ย่อมจะดื่มกินอาหารทั้งหยาบและละเอียด (ทิพย์) เช่น รุกขะเทวะ ภุมมะเทวะ คันธรรพเทวะ อากาสะเทวะ ก็ยังพอใจดื่มกินอาหารหยาบที่มนุษย์จัดพลีสังเวย อสัญญีสัตว์ก็เช่นกัน ดึงดูดอาหารที่เป็นโลหะธาตุฟอสฟอรัส และรสหวานเกสรดอกไม้ แล้วขับของเสียที่เป็นอณูเล็ก ๆ ละเอียดออกมาที่ละนิดจนรวมตัวเป็นอะตอม และเพิ่มมากขึ้นจนเป็นกลุ่มก้อนห้อยย้อยอยู่ตามผนังถ้ำ เหล่าจอมขมังเวทย์ไปพบเข้าก็ตัดเอามาทำเครื่องรางของขลังก็ใช้ได้ผลเหมือนกัน ส่วนจะขลังมากขลังน้อยก็ขึ้นอยู่กับจอมขมังเวทย์แต่ละท่านว่าจะมีพลังจิตจูนเข้าหาพลังเดิมแล้วดึงพลังเดิมที่เป็นต้นกำเนิดมาสถิตยังวัตถุนั้นได้มากน้อยแค่ไหน จูนแล้วดึงได้มากก็ขลังมาก จูนดึงได้น้อยก็ขลังน้อย แม้แต่เศษอาหารของอสัญญีสัตว์ที่ผ่านเวลากาลมาไม่รู้กี่ล้านปี ก็ยังมีพลังมหาศาล ของเสียที่อสัญญีสัตว์ขับออกมาก็เช่นกัน หากผู้มีพลังจิตสัมผัสดูก็จะรับรู้ถึงพลังแห่งรูปฌาน 4 ที่มีอยู่ในวัตถุของเสียเหล่านั้น
อีกประการหนึ่ง แม้ว่าสัตว์เหล่านี้จะมีชีวิตที่ยาวนานเกือบจะเรียกว่านิรันดรได้ก็ตาม แต่ก็หนีความเป็นอนิจจังไปไม่พ้น ก็ต้องดับไปตามกฏเกณฑ์ของสัจธรรม ทิ้งรูปกายที่เป็นโลหะธาตุ คล้ายลูกฟักบ้าง คล้ายหยดน้ำบ้าง และมีสีสันต่าง ๆ ที่เป็นไปตามอารมณ์ของกัมมัฏฐานที่เคยบำเพ็ญมาเมื่อสมัยเป็นมนุษย์ เช่นตนที่บำเพ็ญกสิณไฟ สีกายก็จะออกแดงเรื่อ ๆ จาง ๆ ตนที่บำเพ็ญปฐวีกสิณ สีกายจะดำมันวาววับ ตนที่บำเพ็ญอาโบกสิน สีกายจะออกสีเงินยวง ตนที่บำเพ็ญวาโยกสิน สีกายจะออกเงินยวงวาวใส ผู้ที่ไปพบรูปกายอสัญญีสัตว์ที่จุติแล้ว นำมาทำเครื่องราง จึงไม่มีอนุภาพใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะวิญญาณนั้นจุติไปสู่ภูมิอื่นแล้ว ส่วนจะไปสู่ภพภูมิใดไม่มีใครรู้เพราะพระพุทธเจ้าไม้ได้ทรงพยากรณ์ไว้