
มีคนบอกเสมอว่า การเดินทางคนเดียวเป็นเรื่องไม่ดี อันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิง แต่แปลกนะฉันกลับรู้สึกว่า มันคือการผจญภัย ความตื่นเต้น และเป็นวิธีหนึ่งที่จะได้ทำความรู้จักกับตัวเอง
นับว่าโชคดีมากที่ฉันได้ทำงานเกี่ยวกับการทำวิจัยที่ได้เดินทางเก็บข้อมูลต่างจังหวัดบ่อยๆ พอได้ยินว่างานวิจัยคราวนี้จะไปเก็บข้อมูลที่สุราษฏร์ธานี ฉันเริ่มนึกถึงงานกองโตข้างหน้า การทำงานหนัก ชีวิตซีดเซียวในโรงแรม และช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตบนรถตู้ตระเวนสัมภาษณ์โรงเรียนแห่งแล้วแห่งเล่า ในจังหวัดที่ถือได้ว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากที่สุดแห่งหนึ่ง ว่าแล้ว..ฉันก็เริ่มหาข้อมูลท่องเที่ยวทันที
เวลาเพียงไม่นาน ก็ตกลงใจเลือก “เกาะพะงัน” เหตุผลง่าย ๆ เพราะที่นั่นค่าใช้จ่ายถูกกว่า สมุย มาก แถมยังมีความหลากหลาย ทั้งหาดแดนส์มันส์ระเบิดช่วง Full Moon Party อย่าง “หาดริ้น” สถานที่เลื่องชื่อของนักท่องเที่ยว Backpack จากทั่วโลก หรือหาดอื่นๆ อีกเยอะแยะที่ยังคงสงบเงียบ เหมาะกับการนั่งนิ่งๆ พักใจ ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ฉันหวังอยากตอบตัวเองได้บ้างว่าชีวิตวันต่อไปจะเป็นอย่างไร
หลังเสร็จจากงานวิจัย ฉันพักค้างคืนที่โรงแรมก่อนที่จะนั่งรถทัวร์จากตัวเมืองไปยังท่าเรือเฟอรี่ รถแล่นไปจนถึงท่าเรือดอนสักตอนประมาณ 8 โมงเช้า ในขณะที่พระอาทิตย์กำลังยิ้มร่าเอียงองศาทำมุมน้อย ๆ กับผืนโลก เมื่อก้าวลงพ้นไอเย็นของแอร์บนรถทัวร์ ฉันรู้สึกถึงบรรยากาศของความตื่นเต้น อารมณ์สดชื่นของการเดินทางทันทีที่เห็นทะเล นับว่าเป็นวันที่ทะเลเป็นใจให้เดินทางเสียจริง คลื่นลมสงบไม่เหมือนเมื่อสองสามวันก่อน ฝนตกหนักจนน่ากลัวว่าจะต้องงดการเดินทางเสียแล้ว
จากที่นั่งท้ายเรือเฟอรี่ฉันเฝ้ามองฟองคลื่นขาวแตกกระจายฟูฟ่อง แล้วม้วนตัวกลืนหายเข้ากับผืนทะเลดังเดิม ท่าเรือดอนสักถูกทิ้งให้ไกลตาออกไปทุกที ยิ่งไกลน้ำทะเลสีขุ่นข้นที่ท่าเรือ เปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าใสแจ๋ว เปล่งประกายเผยให้เห็นพลังของท้องทะเลยามสะท้อนต้องแสงแดดอันแผดกล้าขึ้น ทิวทัศน์รอบตัวค่อย ๆ เคลื่อนไป ด้านซ้ายมือเป็น เกาะสมุย ส่วนทางขวาคือ หมู่เกาะอ่างทอง ระหว่างนั้นก็ยังนึกสนุกอยากเขียนโปสการ์ดไปด้วย เพราะอดใจอยากเล่าถึงความตื่นเต้น ซาบซ่าส์ของการเดินทางให้ใครสักคนฟังไม่ไหว ฉันเขียนไป เรือโคลงไป เขียนได้สักพักจึงต้องหยุดหายใจ เมื่อเริ่มสำลักคลื่นอักษรของตัวเอง
เวลาผ่านไป 2 ชั่วโมงกว่าแล้ว หันมองไปทางหัวเรือเห็น เกาะพะงัน ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เกาะอะไรก็ไม่รู้ใหญ่จัง มาถึงสักทีนะ นึกแล้วค่อยบิดขี้เกียจเบาๆ คลายความเมื่อยขบจากการเดินทาง พร้อมจะไปต่อยังจุดหมายปลายทางที่ หาดริ้น
เมื่อเดินทางถึงจุดหมาย สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือ เวิ้งทรายขาวของหาดริ้นอันเลื่องชื่อนั้น คลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย แดดแรงยามบ่ายแผดเผาทุกอณูละเอียดของเม็ดทรายให้ส่องประกายสว่าง แต่ความร้อนแรงเหล่านั้น กลับไม่ทำให้ผู้เดินทางไกลระโหยโรยแรงในการแสวงหาความสำราญแต่อย่างใด พวกเขาอยู่ภายใต้ช่วงเวลาพิเศษช่วงหนึ่งของการรอนแรมจากบ้าน มายังสถานที่ห่างไกลคนละฝากโลกแห่งนี้ ช่วงเวลาของการเดินทางเพื่อแสวงหาความสนุกสนาน หรือแม้กระทั่งการค้นหา “บางสิ่ง” ให้กับชีวิต
ฉันเฝ้าสังเกตสีสันความเคลื่อนไหวของหาดริ้นอย่างเงียบๆ ในร้านอาหารตามสั่งริมหาดริ้นที่หรูหราระดับเพิงหมาแหงน ระหว่างนั่งกินข้าวหมูทอดกระเทียมพริกไทยไปก็สงสัยไป ใครหนอที่เป็นเจ้าของพื้นที่กันแน่ เพราะหาดอัดแน่นไปด้วยประชากรหัวเหลืองเต็มไปหมด ทำให้สาวไทย หน้าหมวย ผมดำ พูดอังกฤษกระท่อนกระแท่นอย่างฉัน รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกถิ่นไปโดยปริยาย แต่จะยังไงก็เถอะ หาดริ้นดูสนุกสนานและแสนจะวาบหวิว ฉันเขียนโปรการ์ดถึงเพื่อนคนหนึ่งว่า “ที่นี่เดินไปที่ไหนก็ได้ยินแต่ฮิปฮอบ เร้กเก้ แต่ในหัวฉันมันกลับเป็นจังหวะ ดึง ดึ๋ง ดึ๋ง ดึ๋ง ว่ะ มีทั้งดึ๋งใหญ่ ดึ๋งเล็ก อาบแดดอยู่เต็มไปหมด แก.. เมื่อกี้นี้เอง มีดึ๋งยักษ์วิ่งลงทะเล บิกินีสีชมพูด้วย!!” อาหารกลางวันมื้อนั้นช่างอุดมไปด้วยโปรตีนซะจริงๆ เขาว่ากันว่าเวลาเข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตามใช่ไหม แต่เอ.. เมื่อมองดูสังขารตัวเองแล้ว
บรรยากาศทั่วไปของริ้น ไม่เฉพาะบทเพลงของเจ้าพ่อเร็กเก้อย่าง บ๊อบ มาเลย์ ที่ลอยล่องจากร้านอาหารริมหาด ที่จะกลายเป็นผับเมื่อราตรีกาลย่างกรายมา ฉันยังพบภาพวาด (เกือบ) เหมือนของเขา บนธงของเรือหางยาว และยังมีภาพเขียนหน้าของเขาที่ข้างเรือด้วย แต่พอฉันถามเจ้าของเรือว่าเป็นภาพใคร กลับได้รับคำตอบพร้อมยิ้มกวน ๆ ว่า ?เป็นภาพหน้าเจ้าของรีสอร์ทแถวนี้แหละ!!!? ฉันสบตากับผู้ให้คำตอบ…
ชั่วอึดใจหนึ่งที่ช่องว่างของความแปลกหน้าเลือนลางไป เราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ช่วงที่เดินทางไปยังไม่ใช่ช่วงคืนจันทร์เต็มดวง แต่หาดริ้นยังคงยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้แสวงหาความสำราญอย่างหลุดโลกเสมอ หลายคนคงเคยได้ยินความบ้าคลั่งของการปลดปล่อยตัวตน และค้นหาอิสรภาพของนักท่องเที่ยวที่นี่ ซึ่งมักแสดงออกด้วยการกบฏต่อ “ความดีงาม” ที่วางอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย หรือศีลธรรม อย่าง Sex ริมหาด พี้ยา หรืออะไรก็ตามที่จังหวะร้อนแรง และบรรยากาศของหาดริ้นจะพาไป มันเป็นความบ้าคลั่งอันแสนปกติของมนุษย์ ที่ต่างพยายามไข่วคว้าความสุขอย่างสุดเอื้อม ที่…ถึงแม้จะรู้ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ฉันเคยได้ยินหลายเสียงสะท้อนจากคนรอบข้างว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเสรีภาพจอมปลอม หรือเป็นเพียงการเสพภาพฝันในโลกที่หมุนไปตามกระแสบริโภคนิยม …แต่จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เวลานี้ฉันเริ่มมองหาที่เงียบ ๆ สักแห่งสำหรับเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อน ซึ่งดูเหมือนจะหาได้ยากเย็นเหลือเกิน
ฉันเริ่มหาข้อมูลพะงันอีกรอบจากเจ้าของร้านทำผมที่พึ่งพิงเมื่อยามอยากหาคนคุยด้วยสักคน พี่เจ้าของร้านแนะนำฉันให้ไป หาดเทียน หาดเงียบสงบที่อยู่ใกล้แค่นั่งเรือหางยาวเลาะตามโขดหินจากริ้นไปสัก 20 นาที ถึงแม้ทรายจะไม่ขาวละเอียดอย่างริ้น แต่หาดเทียนก็เงียบสงบพอที่จะยอมให้เสียงคลื่นเป็นเครื่องดนตรีชิ้นเอก ขับขานบทเพลงอย่างละเมียดละมุน ฉันยังคงทิ้งสัมภาระไว้ในบ้านพักที่หาดริ้นเพราะตั้งใจจะเดินเล่นที่หาดเทียนแค่ 2-3 ชั่วโมง แต่ถึงกระนั้น ก็กลับใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจที่จะทิ้งหาดริ้นสักคืน เมื่อ “คิม” สาวเกาหลีที่ฉันพบระหว่างที่นั่งเรือหางยาวชวนให้ค้างอยู่ด้วยกัน
คิม เป็นคนน่าสนใจมากคนหนึ่ง เธอมีเชื้อสายเกาหลีก็จริง แต่เติบโตในฝรั่งเศส ทำให้ทัศนะต่อเรื่องต่างๆ รวมถึงวิถีชีวิตของเธอมีกลิ่นอายตะวันตกอยู่มากทีเดียว คิมเริ่มออกจากบ้านและเดินทางครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี นับจากนั้นมา เธอก็เริ่มมีอาการอยู่ไม่ติดที่ ระหกระเหินเดินทางไปสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ปีนภูเขาหิมาลัย ตะเวนทั่วเอเชีย ยุโรป อัฟริกา สำหรับประเทศไทยนี่คือการเดินทางครั้งที่ 3 ก่อนที่จะรอนแรมมุ่งหน้าต่อไปหาทะเลสวยๆ สักแห่งแถวฟิลิปปินส์ คิมเป็นนักแปลอิสระ ด้วยความสามารถทางภาษาหลายภาษาที่พอกพูนขึ้นจากการเดินทาง เธอสามารถใช้ชีวิตปีละ 3-4 เดือนทำงานหนัก เพื่อแลกกับชีวิตรอนแรมพเนจรในช่วงเวลาที่เหลือ
สิ่งที่ คิม ค้นหา ไม่ใช่ความสนุกแบบชั่วครู่ชั่วยาม แต่เธอต้องการความสงบทางจิตใจ เป้าหมายสำคัญของการมาพะงันคือการนั่งสมาธิ ก่อนที่จะเดินทางไปสวนโมกข์เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอีกหลายคนที่เลือกพะงันสำหรับการปลีกวิเวกและเข้าถึงความสุขสงบทางจิตใจ ด้วยการผสมผสานวิธีอันหลากหลาย อย่างการฝึกโยคะ การทานมังสวิรัติ การนั่งสมาธิ เราสองคนคุยกันถูกคอ แต่น่าเสียดายที่เรามีเวลาทำความรู้จักกันไม่มากนัก เพราะกำหนดเดินทางกลับกรุงเทพฯ ของฉันคือวันรุ่งขึ้น
ทุกครั้งที่ฉันนึกถึง คิม ฉันรู้สึกว่าโลกใบนี้ยังมีเส้นทางอีกมากมาย ที่ยังรอคอยให้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราได้ไปสัมผัส และรับรู้ความมหัศจรรย์สวยงามของโลกกว้าง การที่ได้พบกับคิมนั้นราวกับโชคชะตาต้องการย้ำเตือนฉันให้นึกถึงความฝัน ความหวังที่เคยนอนสงบนิ่งในจิตใจ ได้ลุกขึ้นมาโลดแล่นเต้นระบำไปพร้อมกับจังหวะย่างก้าวในชีวิตของโลกความเป็นจริง ฉันหวังว่าคงมีโอกาสได้เจอ คิม อีกครั้ง ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ และเมื่อถึงเวลานั้น ฉันอยากจะได้เป็นผู้เล่าเรื่องราวของฉันให้เธอฟังบ้าง
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันนั่งทบทวนถึงพะงันและการเดินทางตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หากมีใครสักคนถามฉันว่ารู้สึกอย่างไรกับพะงัน ฉันคงตอบได้อย่างไม่ลังเลว่า ที่นั่นอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของ “ความหลงใหลในเสรีภาพ” ราวกับยุคสมัยบุปผาชนย้อนอดีตมาปรากฏตัวอีกครั้ง มันเป็นอิสรภาพของการท่องเที่ยว ที่เกิดจากการตัดขาดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมเก่า ๆ ปลดปล่อยความรับผิดชอบของภาระชีวิตประจำวัน เพื่อแสวงหาความสุขราวกับล่องลอยในดินแดนแห่งจินตนาการอย่างไร้ขีดสุด แต่เสรีภาพเหล่านั้นจะเป็นของจริง ของปลอม หรือเป็นเพียงมายาภาพที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อส่วนแบ่งรายได้จากผลประโยชน์มหาศาลของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ฉันไม่อยากเป็นผู้ตัดสิน สำหรับฉันแล้วพะงันเป็นที่หลากสีหลายอารมณ์ ตามแต่ปัจเจกชนจะเลือกรับรู้ และเก็บมันไว้ในความทรงจำส่วนตน
ตลอดช่วงเวลาของการเดินทางย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ แต่เพราะเป็นการเดินทางคนเดียว ทำให้หลายเวลาพบกับความรู้สึกโดดเดี่ยวเงียบเหงา แต่นึกไปแล้ว….ความเหงาก็ยังเป็นเพื่อนดีกว่าคนข้างตัวที่เราไว้ใจ แต่มักทำร้ายความรู้สึกกันอย่างสม่ำเสมอ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ ฉันพอจะต่อรองกับความเหงาได้บ้างบางเวลา เมื่อพบเจอกับเพื่อนใหม่ และมิตรภาพมากมายตามรายทางที่แฝงตัวในรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้คน ถ้าหากเราไม่ขังตัวเองในห้วงของความเหงานานจนเกินไปนัก เราก็อาจจะได้พบความสวยงามและมิตรภาพที่การเดินทางนำพามาทักทายถึงประตูของหัวใจ
หมาเอกเขนก…กลางท้องทุ่ง