
โรยควันอ่อน ๆ แลดูจืดจางลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ หลังสิ้นเสียงพลุนับร้อยดวง พร้อมเสียงไชโยโห่ร้องของนักย่ำราตรี ในการนับถอยหลังเพื่อเปลี่ยนชั่วโมงใหม่ให้เป็นวันใหม่
9….8….7…..6….5….4…..3….2….1……0… เฮ้! ..ไชโย! ..ปีใหม่! …..Happy New Year
ก่อนหน้านี้ซัก 2 ชั่วโมงผมนั่งคิดอยู่นานทีเดียว ที่พาตัวเองมาเสี่ยงโลกเสี่ยงภัยคนเดียวในค่ำคืนนี้ เนื่องจากมีรสนิยมทางบรรยากาศและการดื่มที่แตกต่างเป็นจากเพื่อนฝูง สะพานพระราม 8 วันนี้ 2 ฟากฝั่งของริมทางเดินบนสะพาน และใต้สะพานดูหนาตาไปด้วยผู้คน ดูเหมือนผู้คนที่มาที่นี้จะมีความหวังและความรักในการมา แต่ไม่รู้ว่ามีใครมาเพราะถูกความรักบังคับให้มาหรือไม่ แต่ที่แน่ ๆ ผมก็อยู่ในข้อท้าย ๆ ด้วย หากแต่ไม่ใช่รักในเชิงชู้สาว แต่รักเพราะรักในบรรยากาศของที่นี้ รับรู้ได้ว่ามันมีมนต์เสน่ห์บางอย่างชักพาให้มาลุ่มหลงกับมัน อาจเป็นเพราะว่ามันมีแม่น้ำ มีสะพาน มีการเคลื่อนไหวของผู้คน มีเรือโยง เรือลากฯลฯ ที่ไหลไปตามกระแสน้ำและทวนกระแสน้ำ ที่สำคัญคือมีผู้คนที่คล้าย ๆ กัน แต่ไม่เหมือนกัน และผมถือว่าบรรยากาศมันค่อนข้างเงียบสงบที่สุดในค่ำคืนนี้ของกรุงเทพฯ ที่ผมพอจะเสาะหามันได้ในอารมณ์ที่ระเบิดออกมาอย่างหลุดเคว้งและชำรุด นอกจากห้องของผมเองที่ถือว่าเงียบสุดยังมิวายที่จะมีความว้าวุ่นเข้าไปซุ่มตี
กะว่าจะมานั่งทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามาในชีวิตทั้งเรื่องดี ๆ ชั่ว ๆ ที่ได้ทำมาเพราะบางวันบางเรื่องก็ลืมทบทวนมันเอาเสียดื้อ ๆ เพราะมีเงื่อนไขในเหตุ-ผลหลายอย่างที่ทำให้ลืม ผมหันมองนาฬิกา นาฬิกาเปลี่ยนคน นาฬิกาเปลี่ยนเวลาให้เป็นวันใหม่แล้วจริงหรือ…
ข้างหลังผมดูเหมือนลานเบียร์จะเริ่มฮึ่มเพลงเพื่อชีวิตหนักขึ้น ๆ ทุกที เหมือนกำลังบอกอะไรเป็นนัยบางอย่างให้กับชีวิตตามเสียงดนตรีที่หนักเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หรือว่าสิ่งที่จะเจอในวันข้างหน้าคือความหนัก อันเสมือนบัตรอวยพรชีวิตที่กาลเวลามอบให้สำหรับชีวิตที่ต่างคน ต่างได้รับแตกต่างกันไป ผมกวาดสายตาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านอีกครั้ง รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่บรรยากาศของที่นี้ในคืนนี้ถูกคุกคามด้วยเสียงกระหึ่มของเพลง กลืนกลบเสียงเล็กเสียงน้อยต่าง ๆ ของผู้คน ใช่หรือไม่ที่เราพาตัวเองมาที่นี้ คำตอบคือ…….ใช่ เพราะได้มาแล้ว
ดูเหมือนหลายคนเมามายและโห่ร้องจากการดื่มด่ำความเป็นชีวิตและค่ำคืนอย่างรื่นรมย์ แต่เพื่อสิ่งใดเล่า หรือเพราะเขาทำงานหนักมาทั้งปีหรือบางคนเที่ยวเตร่มาทั้งปี โชคดีที่มีการหยิบยื่นเวลาเช่นนี้ให้กระนั้นหรือ ผมสบถกับวัฒนธรรมประดิษฐ์ (วัฒนธรรม ที่มนุษย์สร้างขึ้น) ที่ปีหนึ่งมีการเริ่มต้นนับที่ 1 ไปจนถึง 365 วัน หรือว่าทุกอย่างต้องเริ่มที่หนึ่งละ….ไม่ใช่แน่นอนทุกอย่างสัมพันธ์กัน และพึ่งพิงอุ้มชูกันนี้นา แล้วแบบนี้จะเรียกว่านับหนึ่งหรือไม่ เมื่อก่อนมันไม่มีการนับเช่นนี้ หากแต่เป็นการนับแบบปฏิทินจันทรคติ ที่อิงกับระยะเวลาการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก ซึ่งผู้คนในยุคนั้นก็ยังอยู่ได้ แล้วใครละมีผลประโยชน์จากการนับเช่นนี้เล่า หรือว่ามันคร่ำครึก จนมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อทำให้พิธีกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ตรงกัน และทำให้วันสำคัญทางศาสนาต้องมีการกำหนดลงให้ชัดเจนศักด์สิทธิ์จนน่ากราบไหว้ยิ่งขึ้นกระนั้นหรือ
ผมเริ่มทะเลาะกับตัวเองอีกครั้งในเรื่องราวที่เกี่ยวกับวันเวลาและความรัก ดูเหมือนเรียนรู้กัน คบหากัน รักกันแล้วไปจบแค่การสมสู่ถ่ายเถพลังอบอุ่นให้กันและกันเท่านั้นหรือ แล้วความรักคือสิ่งใดเล่า หากความรักคือการให้เหมือนที่หลายคนเข้าใจ ถ้าเราให้แล้ว เขาไม่รับละ บางครั้งความรักก็ชำแรกผ่านเข้ามาแล้วออกไป คล้ายแสงแดดอุ่นยามเช้าที่ส่องลอดช่องแตกของเนื้อไม้ ผลุบโผล่มาทักทายเราให้ตื่นจากการหลับฝัน เป็นเช่นนี้เสมอ ๆ หรือทว่าหากเรายึดมั่นเราก็สมควรที่จะได้รับบทลงโทษเช่นนี้ หมายถึงการมานั่ง เซ็ง ๆ เศร้า ๆ สรุปบทเรียนตัวเองอยู่คนเดียว แต่มนุษย์จำเป็นต้องสร้างหลักยึดมั่นเพื่อหาความชัดเจนบางอย่างให้กับตัวเอง เพื่อบอกว่าหรือให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นอย่างนี้ นี้คือตัวเรา และเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกพัดไปเหมือนกอสวะในสายน้ำของกาลเวลา เช่นที่แห่งนี้ใช่หรือไม่
ทว่าแม้บางคนอาจจะมีความรัก ความเกียจชัง ความอ้างว้างที่มีความเหงาบรรจุอยู่ข้างใน หรือความว่างเปล่าที่กำลังเสาะค้น เป็นหลักเกาะยึด
ทว่าทุกคนต่างก็ได้รับส่วนแบ่งจากสุขและทุกข์ในสิ่งที่ตนเองยึดถือแตกต่างกันไป อากาศเริ่มเย็นลง ๆ ที่นี้วันนี้และเวลานี้ เริ่มเปลี่ยนแปลงลงเรื่อย ๆ ผู้คนดูบางตาลง หลังผ่านจากการดื่มบรรยากาศอันฉ่ำเย็นของการ Count Down หรือการนับถอยหลังสู่วันใหม่
ณ ที่แห่งนี้ เขาเหล่านั้นจะพาชีวิตไปทางไหนต่อเล่า “แล้วกูละจะพาตัวเองไปไหนดีว่ะ”
ผมเริ่มคิดถึงการหาเรื่องไปอีกครั้ง โทรไปอวยพรปีใหม่เพื่อนหลาย ๆ คน เขาต่างก็ใช้ชีวิตต่างกัน บางคนผมโทรไปมันนอนแล้วและคุยแบบอืม ๆ อย่างรำคาญเรา หลายคนโทรหาไม่ติด และอีกหลายคนเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง อ้อแอ้จากการดื่มกิน และอื้ออึงไปด้วยเสียงดนตรีที่ครึกโครมอารมณ์ชีวิต ผมกำลังนึกอยู่ แล้วความคิดแวบหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ท่ามกลางการ Happy New Year เช่นนี้ ชนบทอันห่างไกลที่มีทั้งหลบหลีกความเจริญและบ้างหมุนตัวค้อมรับมัน จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ หรือนอนหลับแต่หัววัน เพื่อลุกขึ้นสู้กับงานในวันใหม่ หรือเมาอ้วกเอียนตามประสามนุษย์ แต่แปลกทีเดียวผมกลับไม่มีห้วงคำนึงของการคิดถึงแม่อยู่ในนั้นเลยอาจเป็นเพราะว่าเพิ่งโทรคุยกันเมื่อ 2 วันที่แล้ว ห้วงยามของการคิดถึงบ้านก็ออกจะดูจาง ๆ ไป
เส้นทางทอดยาว หัวใจพองโต ข้างหน้าว่างเปล่า
ผมพาตัวเองเดินลงมาอย่างช้า ๆ จากสะพานพระราม 8 อ้อมตัดเข้า “ถนนข้าวสาร” ดินแดนที่ผมเคยเรียกมันว่า “ดินแดนโลกียะชน” ระหว่างเดินไปข้างหน้านั้นฝรั่งคนหนึ่งได้เร่งฝีเท้าแซงหน้าผมไป และพูดว่า Happy New Year ผมให้รอยยิ้มแทนคำตอบ และเดินหายเข้าไปอยุ่ในอ้อมกอดของผู้คนเรือนหมื่น ที่แน่นขนัดจนถนนเส้นนี้แทบจะไม่มีที่ให้เดิน คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ถนนเส้นนี้ที่ผมย่ำอยู่จะเต็มไปด้วยเยาวชน คนหนุ่มสาวที่โดดดิ้นอย่างได้รสได้ชาติ ในดินแดนอารมณ์ของเขาเองอย่างเสรี ตราบที่มีเงินในกระเป๋าที่ต้องจ่ายสำหรับการปลดปล่อยอารมณ์ตกค้างของตัวเองออกไป เพื่อซื้อหาความสุข จากเสรีภาพที่ทางบ้านไม่มีให้ และไม่มีขายตามวัดวา
ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่ได้ทบทวนชีวิตตามจุดประสงค์ที่มา แต่ทว่าก็มีการใคร่ครวญไตร่ตรองชีวิตอยู่ในห้วงของความคิดที่เผชิญหน้าอยู่ขณะนี้
เสียงเพลงครึกโครม ผู้คนมากมาย ดวงหน้าเคลิบเคลิม บ้างอ้วกบางเต้น เบียร์กระป๋องที่ 4 อยู่ในมือผม พร้อมกับเหล้ายี่ห้อต่างประเทศที่เหลือจากการดื่มกินกับเพื่อนมิตร เมื่อคราก่อนอยู่ในกระเป๋าสะพาย ผมเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์โลดโผน แต่ทว่าไม่ใช่ระเบิดออกมาอย่างหลุดเคว้งและชำรุด เหมือนคราแรก
ถนนข้าวสารค่อย ๆ คลายตัวผมคืนสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ทว่าชีวิตเบาหวิวและหนักหน่วงกว่าเดิม วันคืนและเวลาค่อยเคลื่อนไป ชีวิตคงอยู่ สิ่งที่อยู่อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่อาจไม่อยู่ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เพื่อรอคอยและพานพบสิ่งที่ใช่ ไม่ใช่หรือ….
ภูมิวัฒน์ นุกิจ
“วันปีใหม่” ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่คนปุถุชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับมัน ถ้าคิดว่าปีใหม่คือการเริ่มต้นในการทำแต่สิ่งดี ๆ ทุกครั้ง แล้วคนที่ต้องการเริ่มทำสิ่งดี ๆ ในชีวิต มิต้องรอให้ถึง “วันปีใหม่” ก่อนรึ ถึงจะเริ่มทำในสิ่งดี ๆ เหล่านั้นได้
คนในเมืองบางส่วนมีความสุขกับการดื่มกิน ฉลองปีใหม่ สนุกกับการได้จับจ่ายใช้สอยเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข กันแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
คนบางส่วนก็ยังต้องทำงานตามปกติ แบบปากกัด ตีนถีบต่อไปไม่มีวันหยุด เพราะถ้าหยุดนั้นหมายถึงไม่มีกิน และใช้จ่ายแบบจำกัดจำเขี่ย
คนนอกเมืองหรือที่อยู่ในเมือง ทั้งที่มีฐานะ และพอมีฐานะ ก็มีความสุขกับการดื่มกิน ฉลองปีใหม่ เช่นกัน สนุกกับการได้จับจ่ายใช้สอยเพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข กันแบบทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ
ส่วนคนที่ไม่มีจะกินล่ะ ?????? คุณคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรใน “วันปีใหม่”
“วันปีใหม่” ก็คงเป็นวันธรรมดาอีกวันที่กำลังจะผ่านไป ก็คงไม่พ้นไปจากการนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อตื่นขึ้นมาทำงานตามปกติที่เคยทำ “ก่อนวันปีใหม่”….ก็เท่านั้น
………………หวัดดีค่ะคุณ…ภูมิวัฒน์… ….
ช่ายการที่คนเราต้องการปลดปล่อยความทุกข์บางอย่างในวันสิ้นปีและเริ่มต้นทำในสิ่งที่ดี ๆ …มันเป็นการดี..แต่เราไม่จำเป็นดื่มของมึนเมาเพื่อดื่มฉลอง.. จริง ๆ แล้วคนเรามักจะถูกเป็นเครื่องมือในการหากินทางการตลาดอย่างหนึ่ง… ปีใหม่…ทำไมต้องให้ ส.ค.ส. ล่ะ ทำไมต้องดื่มเหล้าเพื่อฉลอง ที่จริงมันก้อเป็นวันหยุดธรรมดาวันนึงเราต้องกลับไปหาครอบครัวสิ เราต้องคิดถึงพ่อกะแม่สิไม่ใช่เอาชีวิตที่มีค่าที่สุดของพ่อกะแม่ไปสำมะเลเทเมา เผลอ ๆ เมาตกแม่น้ำเจ้าพระยาตายไปก้อกลายเป็นศพไร้ญาติอีกนะ…. แต่ที่พูดไม่ได้หมายถึงผู้เขียนนะ เราหมายถึงคนที่ทำตัวเมามายกะวัตถุต่างหาก

The Dbate of Me and My Heart Pt.1
ในวันอันครึ้มไปด้วยเมฆฝน, ภายใต้ร่มไม้ซึ่งเอนไหวตามกระแสลมอันแผ่วเบา, ท่วงทำนองแห่งหัวใจเองก็ได้นั่งคุยกับข้า, และคุยตามลำพัง.
“ชีวิตเอง, เฉกเช่นสิ่งอื่นใด, แม้ไม่สามารถพยุงตัวเองในที่สูง, ก็มีอันต้องตกลงมาเรี่ยราดตามพื้นดิน.”
“หนทางคนเปลี่ยน, มันเองเปลี่ยนอยู่เสมอ, ทั้งวกวน, ทั้งยอกย้อน.”
“ทว่าชีวิตไม่เคยหลอกลวง.”
“ทว่ารักนั้นเป็นจริง.”
“แม้จริงคือปลอม.”
“บนหนทางนี้, ตัวข้าผ่านมา, ทั้งโดยเทียมม้า, ทั้งโดยย่างก้าวแลทั้งโดยคลาน,
“บนหนทางนี้, ตัวข้าผ่านมา, ทั้งโดยราบรื่น, ทั้งโดยขลุกขลักแลทั้งล้มลง,
“บนหนทางนี้, ตัวสังขารข้า, มันจักพาข้าไปสู่สิ่งใด,
“บนหนทางนี้, แม้ข้าอยากหนี, ตัวข้ายังอยู่.”
“อยู่เพื่อสิ่งใด.”
อิงลิช ท่านมาพรำเพ้ออะไรที่นี่ ทำไมไม่เขียนให้ต่อเนื่อง นี่ก็หยุดมายาวแล้วนะ การเขียนเพียงบทเดียวไม่เพียงแต่ทำให้คนไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของท่าน แต่มันยังทำให้ท่าน หาตัวเองยังไม่พบอีกด้วย
จากสหายที่บังเอิญเดินผ่านมา
ขอบคุณสหายทุกคน และโลกใบนี้กระทั่งจักรวาลอันบิดเบี้ยวในกระแสธารของวันเวลา