Photo by Jularat Damrongviteetham

ความเหนื่อยหน่ายและสุดทนกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนไปบนหนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่ได้สวยงามอย่างที่ตั้งใจไว้ การกลับบ้าน คือการกลับไปตั้งหลักชีวิต การออกเดินทางกลับบ้านจึงเหมือนการถอยไปเริ่มกิโลเมตรที่ศูนย์ของชีวิต กลับไปนั่งคิดและไตร่ตรองกับเรื่องราวที่ผ่านมา…

บ่ายคล้อยวันนั้น เราออกไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะริมน้ำ ใต้ต้นหางนกยูงที่กำลังผลิดอกงาม กลิ่นเค็ม ๆ ของน้ำทะเลโชยมาให้ได้ชื่นใจ เสียงเครื่องยนต์ของเรือหางยาวดังอยู่ไกล ๆ พอให้รู้ว่าชีวิตไม่ได้เงียบเหงานัก ดวงอาทิตย์กลมโตกำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีส้มสะท้อนกับผืนน้ำ

“สวยจัง ทำไมเราไม่เคยรู้เลยว่า พระอาทิตย์ตกที่บ้านเราสวยขนาดนี้วะ”

เราครุ่นคิดอยู่เงียบ ๆ แต่มันก็ดังพอที่จะสะกิดเอาความทรงจำในวัยคะนองให้ผุดขึ้นมา เราออกท่องเที่ยว โบกรถ ตากแดด ฝ่าลมหนาว กินมาม่า ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน แต่เราก็จะไป ไปดูความงามของธรรมชาติที่ถูกกล่าวขานตามคำบอกเล่าของผู้คน ยืนยันด้วยภาพถ่ายตามหนังสือสารคดีท่องเที่ยวทั่วไป โดยที่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าและความงามอยู่ในที่ที่เราเกิดและเติบโต

“น่าเสียดายที่วันนี้ไม่ได้เอากล้องมา แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ พรุ่งนี้แหละ เราจะมาใหม่ มาถ่ายรูปเก็บไว้”

เย็นนั้นเรากลับบ้านไปด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบ

บ่ายวันรุ่งขึ้น เรามาตามสัญญาใจตัวเอง มาด้วยความร่าเริงและเปี่ยมหวัง ที่จะต้องกลับมาเก็บรูปสวย ๆ ให้ได้ พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว แต่…เรามองไม่เห็นลูกสีส้มกลมโตตกน้ำอย่างเมื่อวาน เราไม่เห็นฟ้าใส ๆ อย่างที่เคย ดอกหางนกยูงก็ร่วงหล่น จนแทบจะไม่เหลือช่องาม ๆ อีกแล้ว ความร่าเริงและอิ่มใจหายไปในฉับพลัน ทุกอย่างดูเงียบงัน ในทันใดมันก็ปิ๊งขึ้นมาในใจ

“กระทั่งฟ้ายังเปลี่ยนสี ประสีอะไรกับชีวิต ประสาอะไรกับใจคน ที่มันก็ย่อมเปลี่ยนแปลง” รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว

แม้วันนี้เราจะไม่ได้รูปสวย แต่ก็อิ่มเอมใจซะยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีกที่ทำให้ตัวเองเข้าใจโลกด้วยตัวเอง ทั้ง ๆ ที่มันแสนจะธรรมดา “ทุกอย่างมันย่อมเปลี่ยนแปลงไป” ใคร ๆ ก็ชอบบอกแบบนั้น แม้ว่าจะเข้าใจมันได้ แต่วันนี้ประโยคแบบนั้นมันเกิดจากความรู้สึกของเราเอง

จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม