เกริ่นนำ
ความตายเป็นอนาคตของปัจจุบัน เป็นอนาคตของทุกชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ก็มีน้อยคนนักที่ไม่พยายามหลีกเลี่ยง หรือไม่พยายามยืดเยื้อให้อนาคตนี้ถอยร่นไปไกลที่สุด มีนักปรัชญาตั้งข้อสังเกตว่า ความตายนี่แหล่ะ คือเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้มนุษย์ ยอม มีศีลธรรม มนุษย์กลัวการถูกละเมิด ถูกทำร้าย ถูกทำลาย กลัวจุดจบของตนเอง จึง ยินยอมที่จะไม่ละเมิด ไม่ทำร้าย ไม่ทำลายผู้อื่น บางคนอาจเคยตั้งข้อสังเกตว่า ทศกัณฐ์ ผู้เชื่อว่าตนจะเป็นอมตะ (แทบจะ) ไม่ต้องมีศีลธรรม อยากจะข่มเหง รังแก เข่นฆ่าใครก็ได้ เพราะทศกัณฐ์ ไม่ต้องกลัวความตาย แต่เรามนุษย์ทั่วไปย่อมไม่ใช่ทศกัณฐ์ เราต่างประหวั่นพรั่นพรึงกับจุดจบแห่งชีวิต ความตายเป็นเงาที่ทอดผ่านชีวิตในปัจจุบันอยู่ทุกลมหายใจ นักปรัชญาเยอรมัน มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ถึงกับมองว่า ชีวิตของเราคือ ภาวะที่ดำเนินสู่ความตาย
แม้ว่าตามหลักชีววิทยา ความตายเป็นอนาคตที่เป็นจุดจบของปัจจุบัน แต่ศาสนธรรรมทั้งหลายต่างมีคำสอนเกี่ยวกับอนาคตที่ทอดยาวไปไกลกว่าจุดจบของชีวิตปัจจุบัน พุทธศาสนาสอนว่ามีชีวิตใหม่ในชาติหน้าที่ต้องรับผลกรรมทั้งดีและชั่วที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ ศาสนาเอกเทวนิยมเชื่อว่ามีวิญญาณอมตะที่จะไปสวรรค์หรือนรกเพื่อรับผลพวงของการกระทำดีชั่วในชีวิตนี้ ข้อเสนอจากศาสนาที่ทอดยาวสู่อนาคตของอนาคตนี้เป็นคำมั่นสัญญาแห่งความหวังหากได้สวรรค์เป็นรางวัล หรือไม่ก็เป็นคำขู่หากต้องตกนรกเป็นบทลงโทษ ในแง่นี้ ชีวิต หลังความตายคือ อนาคตของอนาคต ที่ศาสนธรรมท้าทายให้เชื่อ
ถ้าเรารับคำท้าทายจากศาสนธรรม เราก็น่าเชื่อต่อไปได้ว่า ความตายหรือจุดจบของชีวิตนี้ มิใช่ จุดจบสุดท้าย แต่เป็นภาวะเปลี่ยนผ่าน เป็นธรณีประตูที่เราก้าวผ่านไปสู่อนาคตของอนาคต
ไม่ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ว่ายังมีอนาคตหลังความตาย แต่ก็น่าเชื่อว่ามีมนุษย์ไม่มากนักที่อาจหาญทระนง กล้าเผชิญหน้ากับความตายของตนเองอย่างจริงจัง กล้าพินิจใคร่ครวญว่า ยังมีคุณค่าใดหรือไม่ ที่สูงส่ง พอ ที่จะเอาชีวิตตนเป็นเครื่องมือเป็นหนทางสู่เป้าหมายแห่งคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น อาจมีศาสดา มหาสตรี มหาบุรุษ หรือนักปรัชญาเมธี เช่น โสเกรตีส ที่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกกับอุดมคติทางปรัชญา หรืออาจมีผู้คนธรรมดาสามัญเช่น แม่ผู้เสียสละยอมทิ้งความใฝ่ฝันของตนเองเข้าแลกกับชีวิตที่ดีของลูกน้อย
ความเงียบงันของเหมยฉางซู มหาบุรุษผู้พลิกแผ่นดิน
บทความนี้อยากชวนคุยเกี่ยวกับการตัดสินใจของบุรุษผู้หนึ่งที่โลดแล่นอยู่ในจินตนาการของผู้ชมภาพยนตร์นับร้อยล้านคนทั่วโลก เป็นเรื่องราวอันสลับซับซ้อนของมหาบุรุษผู้ถือกำเนิดขึ้นจากปลายปากกาของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เขียนหนังสือนิยายเป็นงานอดิเรก แต่จินตนาการของเธอเกี่ยวกับ เหมยฉางซู มหาบุรุษผู้พลิกแผ่นดิน (Nirvana in Fire ,2015) ได้กลายเป็นเรื่องเล่าอันทรงพลัง น่าพิศวง มีเสน่ห์น่าใคร่ครวญโต้แย้ง ตามท้องเรื่องเหมยฉางซูเป็นประมุขพรรคบุรพานทีผู้ถูกยกย่องเป็นบุรุษอันดับหนึ่งแห่งทำเนียบหลางหยา ได้รับสมญาว่า “อัจฉริยะกิเลน ผู้ใดได้ครองใจ ได้ครองแผ่นดิน” (จะเทียบกับองค์กรอะไรดีหนอในปัจจุบันนี้) เป็นองค์ที่ลึกลับสุดหยั่ง เบื้องหลังของเหมยฉางซูกลับซุกซ่อนไว้ด้วยความขมขื่นเคียดแค้นจากอดีตที่ต้องชำระสะสางให้ สะอาดหมดจด ที่แท้เขาเป็นใครกันแน่? เรื่องดำเนินด้วยเรื่องราวหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมในราชสำนัก มีความลึกลับยอกย้อน แฝงด้วยกลิ่นอายแบบนิยายกำลังภายใน มีบทวิเคราะห์จิตใจ จิตวิทยา ของตัวละครอย่างลึกซึ้งน่าติดตาม ผู้เขียนมอบทั้งความเคารพและความเห็นใจแก่ตัวละครทุกตัว ตั้งแต่องค์ฮ่องเต้ถึงคนส่งผัก ตั้งแต่พระเอกถึงขุนนางสุดโหดเหี้ยม (ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องราวในนิยายกับเรื่องราวในภาพยนตร์มีรายละเอียดบางส่วนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหมยฉางซูพระเอกกับ ท่านหญิงหนีหวง นางเอก ข้อสังเกตจากบทความนี้วางอยู่บนบทภาพยนตร์ หากจะอาศัยเนื้อหาในนินายเป็นฐาน การสนทนาก็ย่อมจะเปลี่ยนประเด็นไป)
ผู้ร่วมสนทนาในบทความนี้ที่จะ อิน และ ฟิน ได้โดยง่ายน่าจะเป็นผู้ที่ได้ชมภาพยนตร์มาแล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ก็น่าเชื่อว่าจะมีบางประเด็นที่น่าสนใจพอแก่การติดตามต่อไปด้วยจิตพิศวง
บทความนี้จะเน้นที่ปริศนาประหลาดประการหนึ่งตอนใกล้จบ คือหลังจากเหมยฉางซูได้ พลิกแผ่นดินสำเร็จแล้ว ประจวบเหมาะมีข้าศึกบุกแผ่นดินต้าเหลียงจากรอบทิศ เหตุการณ์คับขันเหมยฉางซูตัดสินใจออกรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน โดยต้องอาศัยความช่วยเหลือจากหมอเก่งผู้เป็นสหายรัก แต่การตัดสินใจครั้งนี้นับได้ว่าเป็นการ ทิ้ง ทางเลือกอื่น ๆ ออกไปหมด เช่นการเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนรักษาสุขภาพ และที่สำคัญคือ การทิ้งโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่มากนักกับท่านหญิงหนีหวง คนรักตั้งแต่วัยเยาว์สมัยที่ยังเป็นแม่ทัพน้อยนามกระเดื่องหลินซูห์ คำถามที่น่าพิศวง ไม่ใช่คำถามที่ว่าเพราะเหตุใดเหมยฉางซูจึงตัดสินใจกลับสู่สนามรบ แต่คำถามที่น่าใคร่ครวญกว่ากลับเป็นคำถามที่ว่า เพราะเหตุใดเหมยฉางซูจึงไม่เอ่ยเอื้อนวาจาใด ๆ แม้เพียงคำเดียวกับหนีหวงนางใจดวงใจเมื่อเขาตัดสินใจออกรบทั้ง ๆ ที่สุขภาพย่ำแย่ ไม่มีคำหารือ ไม่มีคำวิงวอนขอให้เข้าใจ ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีคำให้กำลังใจ การตัดสินใจครั้งใหญ่นี้แม้จะเข้าใจได้ในฐานะที่เหมยฉางซูคือหลินซูห์แม่ทัพแห่งกองทัพอัคคีแดงอันเกรียงไกรในอดีต แต่ผู้ทรงปัญญาอันล้ำเลิศอย่างเหมยฉางซู มีหรือจะมองไม่ออกว่าหนีหวงเป็นผู้ที่สูญเสียมากที่สุดในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หนีหวงจะต้องสูญเสียชายในดวงใจถึงสองครั้งสองครา หนีหวงได้สูญเสียหลินซูห์คู่หมั้นหมายในอดีตเมื่อสิบสามปีก่อนและในครั้งนี้นางต้องสูญเสียเขาไปอีกครั้งหนึ่ง นักวาทศิลป์ตัวยงอย่างเหมยฉางซูเหตุไฉนไม่อาจเอื้อนเอ่ยวาจาใด ๆ ต่อหนีหวงเมื่อตนกำลังจะเอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบ นี่เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่เขาจะมอบให้แก่เธอได้ เหตุไฉนจึงไม่ยอมทำ?
ผู้เขียนขอชี้แจงไว้ก่อนว่า ฉากสุดท้ายก่อนออกรบ เหมยฉางซูได้กล่าว ประกาศ ประหนึ่งเป็นคำสัญญาแก่หนีหวงว่าเนื้อคู่ย่อมเป็นเนื้อคู่ถึงสามชาติ เขาขอสัญญาแก่หนีหวงว่าชาติหน้าก็จะยังรักนางและจะขอเป็นคู่ครองอยู่กับนาง แม้ว่าชาตินี้เขาไม่อาจอยู่เคียงข้างนางได้ ผู้เขียนยืนยันว่าก่อนหน้านี้ เมื่อตอนตัดสินใจจะออกรบ เหมยฉางซูไม่ได้เอื้อยเอ่ยวาจาใด ๆ กับหนีหวงแต่อย่างใด จนต้องมีฉากซีรี่ส์รอยยิ้มแกมน้ำตาของหนีหวง และฉากหนีหวงปรับทุกข์กับเฟยหลิวซึ่งเหมือนปรับทุกข์กับตนเองมากกว่า ผู้เขียนจะชวนคุยประเด็นนี้ในตอนท้ายบทความ
การหลบเลี่ยง หลบหนีจากวาจาของเหมยฉางซูต่อหนีหวงบอกอะไรแก่เรา เรื่องการจัดลำดับคุณค่าของเหมยฉางซูเมื่อเขาเลือกตายในสนามรบ เพราะเหตุใดเหมยฉางซูเลือกความเงียบเพื่อสื่อสารการตัดสินใจเอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบ?
ก้าวเข้าสู่หัวใจเหมยฉางซู
บทสนทนาต่อไปนี้เขียนขึ้นด้วยความเห็นใจ และพยายามทำความเข้าใจความเงียบงันของเหมยฉางซู ทั้ง ๆ ที่ก็มีใจให้แก่ผู้ชมที่อาจรู้สึกคับข้องใจกับความเงียบของเขา
เราลองมาเล่นไล่เรียงเหตุผลในใจของเหมยฉางซู
เหตุผลที่กล่าวถึงชัดที่สุดตามท้องเรื่องและเข้าใจได้ง่ายที่สุดน่าจะเป็นเหตุผลเรื่องสุขภาพ เหมยฉางซูเป็นบัณฑิตอมโรค สุขภาพหมิ่นเหม่ต่อภาวะใกล้ตาย ก่อนหน้านี้เหมยฉางซูได้ฝากฝังหนีหวงไว้แก่เซี่ยตง เพื่อนสนิทของนาง กล่าวแก่เซี่ยตงว่า รู้ตัวดีว่าตนเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกไม่นาน ไม่อยากเป็นภาระแก่หนีหวง แต่ก็ไม่อาจบอกหนีหวงได้เพราะเกรงว่านางจะรับไม่ไหว (เขาเคยกล่าวเท็จแก่หนีหวงแล้วว่า จะอยู่ได้อีก 10 ปี) เหมยฉางซูปิดบังเรื่องนี้จากหนีหวงเพราะไม่อยากเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่นาง ที่จะต้องคอยดูแลด้วยความเป็นห่วง ชีวิตนางจะต้องจมจ่อมอยู่กับโรคร้ายของเหมยฉางซู ในอีกมุมหนึ่งเหมยฉางซูก็จะยิ่งรู้สึกผิดเมื่อตระหนักดีว่าตนเองจะเป็นผู้ก่อทุกข์อันเจ็บปวดให้แก่นางอันเป็นที่รักในบั้นปลายชีวิตตน ความเงียบงันของเหมยฉางซูคือการป้องกันความทุกข์ที่จะถาโถมคนรักหากนางต้องเผชิญหน้ากับความตายของตน
ในอีกมิติหนึ่ง เราอาจวางความเงียบงันของเหมยฉางซูไว้บนภาพใหญ่ของวิธีให้ความหมายแก่ชีวิตของเขา หลังจากเหตุการณ์หายนะที่กองทัพเช่อเยี่ยนของบิดาจำนวนถึง 7 หมื่นคนถูกฆ่าตายหมดอย่างอนาถในสนามรบด้วยแผนชั่วช้าของขุนนางในอดีต เหมยฉางซูยอมเจ็บปวดรวดร้าว ยอมเสี่ยงภัยเข้าเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง วางแผนต่อสู้กับขุนนางชั่วช้าด้วยเล่ห์เพทุบายสารพัดชนิด มีคนพยายามฆ่าเขาถึง 7 ครั้งแต่ก็รอดมาได้ ทั้งนี้ก็เพื่อเป้าประสงค์สุดท้ายคือการล้างมลทินให้แก่บรรพชน บีบบังคับให้ฮ่องเต้พลิกฟื้นคดีในอดีต เพื่อชำระประวัติศาสตร์ เปลี่ยนบันทึกเกี่ยวกับกองทัพเช่อเยี่ยนและฉีหวังโอรสองค์โตของฮ่องเต้ให้พ้นจากข้อหากบฏ ปลดปล่อยผู้คนเครือญาติที่เหลืออยู่ให้พ้นจากการเก็บกดความเคียดแค้น ความเจ็บปวด ความหดหู่ ความสิ้นหวังยอมจำนนต่ออำนาจ
เรื่องราวอันเป็นแกนแก่นของเรื่องนี้คือการใช้เล่ห์เพทุบายต่อสู้กับอำนาจฮ่องเต้เพื่อเปลี่ยนบันทึกประวัติศาสตร์ใหม่ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง กล่าวอีกนัยหนึ่งอดีตที่ชำระแล้วด้วยความจริงและความรักภักดี คือเสาหลักแห่งคุณค่าที่สืบทอดสู่คนรุ่นต่อไปได้ นี่เองคือคุณค่าที่พึงยึดถือ นี่เองคือคุณค่าที่สูงส่งกว่าชีวิตในปัจจุบัน ถ้าเราเอาเรื่องของหนีหวงมาวางลงไว้ในภาพใหญ่นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เหมยฉางซูต้องการให้ความทรงจำสุดท้ายที่หนีหวงมีต่อตนคือภาพของหลินซูห์ในชุดนักรบแห่งกองทัพอัคคีแดงอันเกรียงไกร หลินซูห์ที่เป็นภาพฉายปณิธานของหลินซูห์อย่างแท้จริง นี่คือ ตัวตนของหลินซูห์ที่ดีที่สุด ต้องตรงกับใจที่สุด คือตัวแทนของเหมยฉางซูที่เขาอยากให้หนีหวงจดจำไว้ตลอดไป ความตายของเหมยฉางซูในสนามรบเป็นการปิดโอกาสที่หนีหวงจะมีความทรงจำของเหมยฉางซูที่เจ็บออด ๆ แอด ๆ และค่อย ๆ ตายไปต่อหน้านาง
ยิ่งไปกว่านี้ การมอบความทรงจำเกี่ยวกับหลินซูห์ในฐานะนักรบแก่หนีหวงถือได้ว่าเป็นการมอบ พี่หลินซูห์ คืนให้หนีหวงตามที่นางร้องขอหลายครั้งแต่เขาก็ไม่เคยรับปาก หนีหวงเรียกเขาว่า “พี่หลินซูของข้า” แต่หลินซูห์ที่เหมยฉางซูมอบให้ได้ก็เป็นเพียง ครึ่งเดียว ของหลินซูห์กล่าวคือหลินซูห์ในฐานะนักรบ แต่นั่นหมายถึงต้องสละหลินซูห์คนรักไปในคราวเดียวกัน หลินซูห์ที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างนางได้กลับเป็นหลินซูห์ที่ไม่อาจมอบให้แก่นางได้ อย่างน้อยก็ในชาตินี้ฃ
เหตุผลแห่งความเงียบงันทั้ง 3 ประการนี้ ล้วนมิใช่สิ่งที่เหมยฉางซูจะเอื้อนเอ่ยโดยวาจาแก่หนีหวงได้ ในภายนตร์มีฉากหนึ่งที่ปลดปล่อยความเงียบงันของเหมยฉางซู ด้วยความเงียบของหนีหวง เป็นความเงียบสื่อสารผ่าน ชุดเถารอยยิ้มเคล้าน้ำตาของหนีหวง เป็นการสื่อชุดอารมณ์ที่สร้างสรรค์ งดงาม ละเมียดละไม เป็นฉากที่มอบความเป็นวีรสตรีให้แก่หนีหวง นางเป็นวีรสตรีมิเพียงในสนามรบ นางเป็นวีรสตรีในความสัมพันธ์กับเหมยฉางซูด้วย
หนีหวงมองเหมยฉางจากระยะห่าง เธอยืนบนชานเรือน เขายืนอยู่ในสวน หนีหวงเริ่มด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา ด้วยความน้อยใจ เสียใจ เศร้าใจ เข้าใจ และชื่นชม เหมยฉางซู
นี่คือบทตอบรับและตอบสนองด้วยรอยยิ้มและน้ำตาที่หนีหวงมอบให้แก่ความเงียบงันของเหมยฉางซู วาจาที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ความเจ็บปวดที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยมีความเข้าใจที่เจ็บปวดตอบรับความเงียบงันนั้น
จินตนาการเกี่ยวกับอนาคตของหนีหวงกับจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตของเหมยฉางซูเป็นคนละอนาคตกัน อนาคตที่หนีหวงอยากได้เป็นอนาคตในชีวิตนี้ที่เหลืออยู่ เป็นอนาคตก่อนชีวิตนี้จะจบสิ้น อนาคตที่เหมยฉางซูกล่าวแก่หนีหวงบนหลังม้าในฉากสุดท้ายในภาพยนตร์ที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันเมื่อเขาทั้งสองสวมเสื้อเกราะพร้อมออกรบ เป็นอนาคตของอนาคต เป็นอนาคตแห่งคำสัญญาในชีวิตหน้าที่จะรักและอยู่ด้วยกัน
อนาคตที่เหมยฉางซูกล่าวถึงเป็นอนคตที่เป็นปริศนา เป็นอนาคตที่มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะนำพาไปได้ ในแง่นี้ความตายจึงเป็นกุญแจที่จำเป็นต่อการมุ่งสู่อนาคตของของอนาคต แล้วใครเล่าจะเอื้อยเอ่ยวาจาเกี่ยวกับกุญแจนี้ได้โดยง่าย?
แม้แต่อัจฉริยะกิเลน เหมยฉางซูก็ไม่อาจหาญกล้า
สุวรรณา สถาอานันท์