“นกไม่มีถิ่น..เที่ยวผกผินบินเรื่อยไป…
………………………….
นึก..ยิ่งนึกยิ่งหวั่น โอ้ตัวฉันบินมาเดียวดาย….
ไร้จุดมุ่งหมาย….ท่องเที่ยวไปกับสายลม”

นั่นคือบางส่วนของถ้อยคำจากเพลง “พเนจร” ของ พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ซึ่งก้องกังวานขึ้น ณ เวลาประมาณตี 2 กว่า ๆ ของวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ผมยอมรับว่าไม่มีโอกาสได้ร้องได้ฟังเพลงนี้มานานไม่น้อยกว่า 4-5 ปี ทั้ง ๆ ที่โดยส่วนตัวแล้วนี่คือเพลงของพงษ์สิทธิ์ที่ผมชอบมากเป็นลำดับต้น ๆ ก็ว่าได้ อาจเพราะเนื้อหาของเพลงซึ่งให้อารมณ์หม่นเศร้าอย่างรุนแรง (ในความรู้สึกส่วนตัวของผม) จนทำให้มันสอบไม่ผ่านคุณสมบัติในการเป็นเพลงร้อง เพื่อสร้างบรรยากาศครื้นเครงในวงเหล้าของผมและชาวคณะ

มูลเหตุที่ทำให้เพลง ๆ นี้ถูกหยิบขึ้นมาร้องอีกครั้ง ก็เนื่องจากการร้องขอของหนึ่งในเพื่อนที่แวะมาเยื่ยมเยือนพวกผม อาจเพราะพวกเราทำตัวเป็น “เจ้าบ้าน” ที่ดี โดยการเปิดโอกาสให้ “ผู้มาเยือน” ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ผมรู้สึกว่าเสียงร้องส่วนใหญ่มาจาก “ผู้มาเยือน” ทั้งสอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงการวัดผลตามมาตรฐานทางศิลปะ ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงเหล่านั้น “เข้าถึง” แก่นแกนภายในเนื้อหาของเพลงได้อย่างเต็มที่

อาจเพราะพวกเขาถูกสายลมแห่งโชคชะตาพัดพาออกจากพื้นที่แห่งนี้ ให้ออกไปโบกบินอยู่ในสังคม แม้ท้องฟ้านั้นจะกว้างใหญ่ แต่ก็คงมีหลายวันที่แดดจ้า, เมฆครึ้มหรือฝนกระหน่ำ ที่สุดแล้วการจะโบยบินในท่วงท่าและลีลาของตัวเองอย่างที่ต้องการก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถทำได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามตราบใดที่ยังไม่พบจุดหมาย ก็ต้องกระพือปีกไปข้างหน้า อย่างที่เนื้อเพลงว่าเอาไว้

เหตุการณ์ในค้ำคืนนั้น ทำให้ผมนึกถึงหนังฮ่องกงเรื่อง “Days of Being Wild” ของ หว่องกาไว (สุดยอดผู้กำกับหนังอาร์ดที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบในวงกว้างมากกว่าผู้กำกับหนังตลาดหลาย ๆ คนซะอีกจากผลงานอย่าง Chungking Express, In the mood for love และล่าสุดซึ่งไปเปิดตัวที่เมืองคานส์ปีนี้คือ 2046) นี่เป็นหนังเรื่องที่สองของเขาซึ่งออกฉายตั้งแต่ ปี 1991 ตัวหนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองของฮ่องกงถึง 9 รางวัล และก็คว้ามาได้ทั้งหมด 5 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่ๆอย่างดารานำชาย (เลสลี่ จาง) ผู้กำกับยอดเยื่ยมและหนังยอดเยื่ยม

หนังเรื่องนี้แสดงถึงชีวิตของหนุ่มสาวชาวฮ่องกงหลายคู่ในช่วงปี 1960 โดยมีตัวละครที่ชื่อ ยกไจ๋ (เลสลี่ จาง) เป็นผู้เชื่อมโยงพวกเขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน

ยกไจ๋ เป็นหนุ่มหน้าตาดี คารมเยี่ยม มีรถเก๋งขับ อยู่แฟลตส่วนตัว ชีวิตเขาดูเหมือนว่าจะมีพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง ด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ เขาพาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับผู้หญิงมากมาย และแน่นอนที่ว่า ส่วนใหญ่เขาไม่เคยถูกปฏิเสธ!!

เริ่มตั้งแต่ โซวไหล่เจิน (จางม่านอวี้) พนักงานขายน้ำในสนามกีฬา เมื่อ ยกไจ๋ ได้พบเธอครั้งแรก เขาบอกกับเธอว่า “คืนนี้คุณจะฝันเห็นผม” หลังจากนั้นเขาก็แวะเวียนเข้ามาพูดคุยผูกมิตรกับเธอเสมอ

หลายวันผ่านไป ความสัมพันธ์ดูเหมือนยังไม่คืบหน้าซักเท่าไหร ยกไจ๋ ขอให้ให้เธอดูที่นาฬิกาข้อมือของเขาเพียงแค่นาทีเดียว แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่เธอก็ยอมทำตาม

ยกไจ๋ ถามว่า “วันนี้วันที่เท่าไหร่”

โซวไหล่เจิน ตอบ “วันที่16”

ยกไจ๋ พูดต่อไปว่า “วันที่16..16 เมษา..16 เมษา 1960 1 นาทีก่อนบ่ายสาม คุณอยู่กับผม เพราะคุณผมจะจำนาทีนั้นไว้ จากนี้ไปเราเป็นเพื่อนกันแล้ว 1 นาที เรื่องนี้คุณไม่ยอมรับไม่ได้หรอกนะ มันเกิดขึ้นแล้ว…พรุ่งนี้ผมมาใหม่”

หลังจากนั้นเสียงในใจของ โซวไหล่เจิน บอกกับเราว่า “ฉันไม่รู้ว่าเขาจำฉันได้รึเปล่า เพราะเวลา 1 นาทีนั้น แต่ฉันไม่เคยลืมผู้ชายคนนี้ หลังจากนั้น เขามาทุกวัน เราเป็นเพื่อนกัน จาก 1 นาที เป็น 2 นาที ไม่ช้าก็เจอกันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง..”

เมื่อได้คบหาเป็นคู่รักกันมานานพอสมควร ที่สุดฝ่ายหญิงร้องขอให้รุกคืบสถานะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอไปสู่การแต่งงาน ยกไจ๋ ปฏิเสธมันโดยทันทีด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ต้องเสียเวลาคิด โซวไหล่เจิน จึงบอกกับเขาว่า เธอจะไม่มาหาเขาอีกแล้ว

หลังจากนั้นเราก็ได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของ ยกไจ๋ ทั้งแฟลตที่อยู่ รถที่ขับ เงินที่ใช้ เขาได้มาจากแม่เลี้ยง (ซึ่งสร้างฐานะขึ้นมาด้วยอาชีพโสเภณี) ที่ซื้อเขามาจากแม่ที่แท้จริงตั้งแต่แรกเกิด แม้เธอจะเลี้ยงดูเขาอย่างดี หยิบยื่นทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่การเปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับชาติกำเนิดให้ ยกไจ๋ ได้รู้ ทำให้เขาเกลียดเธอ เกลียดที่เธอไม่ยอมบอกว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร เขาเพียรพยายามแวะเวียนมาถามเธอในเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เธอก็ยืนยันจะให้ความลับนั้นตายไปกับตัวเธอ มันเป็นเหมือนข้อผูกมัดให้ยกไจ๋ไม่สามารถตัดขาดจากเธอไปได้ (นั่นอาจเป็นเหตุผลตั้งแต่แรกที่เธอซื้อยกไจ๋มาเลี้ยง-เพื่อเติมเต็มรายละเอียดของชีวิตที่ขาดหายไปสำหรับคนที่มีอาชีพแบบเธอ-ความสัมพันธ์ กับเพศชายในแง่มุมที่มิใช่ความใคร่) พันธนาการเช่นนี้ ถือเป็นที่ยอมรับไม่ได้สำหรับยกไจ๋ คนที่ยึดมั่นในความเป็นอิสระ เหมือนดังคำพูดที่เขาใช้เปรียบเปรยถึงชีวิตตัวเอง “ผมเคยได้ยินเรื่องนกไร้ขา มันได้แต่บินและบิน เหนื่อยก็นอนในสายลม ในชีวิตจะลงดินก็เพียงครั้งเดียว เมื่อถึงวันตาย”

หลังจากเลิกรากับ โซวไหล่เจิน ได้ไม่นาน ยกไจ๋ ก็เริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับ มี่มี่ (หลิวเจียหลิง) นักเต้นในไนท์คลับ มี่มี่ นั้นต่างจาก โซวไหล่เจิน อย่างสิ้นเชิง อาจเพราะอาชีพของเธอทำให้เธอ “กร้านโลก” มากกว่า อย่างน้อย…เธอก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน

โซวไหล่เจิน ยังทำใจไม่ได้ในเรื่องของ ยกไจ๋ เธอมาดักรอพบเขาที่แฟลตตอนกลางคืนเพื่อขอรือฟื้นความสัมพันธ์ ยกไจ๋บอกกับเธอว่า “ผมไม่ใช่คนที่จะแต่งงาน อย่าเอาชีวิตมาทิ้งกับผมเลย คุณจะไม่มีความสุข” โซวไหล่เจิน ถามไปว่า “คุณเคยรักฉันบ้างไหม” เขาตอบเพียง “ผมจะรักผู้หญิงอีกหลายคน กว่าจะตาย ยังไม่รู้ว่าจะรักใครมากที่สุด”

หลังจากนั้น โซวไหล่เจิน ยังคงมาเดินเตร่อยู่แถวแฟลตของ ยกไจ๋ อีกหลายครั้ง ทำให้เธอได้พบกับ ตำรวจหนุ่ม (หลิวเต๋อหัว) ซึ่งเดินตรวจท้องที่อยู่แถวนั้น คงเพราะความรู้สึกอึดอัดจนอยากหาที่ระบายออก และต้องการหลีกหนีความเหงาที่รอคอยอยู่ที่บ้าน (เธอมาจากมาเก๊า และใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวในฮ่องกง) เธอร้องขอให้เขาช่วยอยู่เป็นเพื่อนคุย เธอบอกเล่าเรื่องราวของเธอกับ ยกไจ๋ ให้ตำรวจหนุ่มฟัง ส่วนเขาก็บอกกับเธอว่าจริงๆ แล้วเขาฝันอยากเป็นกะลาสี แต่เพราะต้องดูแลแม่ที่สุขภาพไม่ดี เขาจึงต้องพักความฝันของตัวเองเอาไว้ และทำหน้าที่ของลูกที่ดี จึงมาเป็นตำรวจ

ก่อนจากกัน ตำรวจหนุ่มบอกกับโซวไหล่เจินว่า “คุณโทรหาผมได้ เวลาประมาณนี้ ผมมักอยู่แถวนี้” พร้อมกับจดเบอร์โทรศัพท์ของตู้โทรสาธารณะบริเวณนั้นให้

หลังจากนั้นเสียงในใจของตำรวจหนุ่มบอกกับเราว่า “ผมไม่ได้คิดว่าเธอจะโทรมาจริงๆ แต่เวลาที่เดินผ่านโทรศัพท์ ผมจะรอซักครู่ทุกครั้ง บางทีเธออาจจะกลับไปมาเก๊า หรือบางทีแค่ต้องการใครซักคนเป็นเพื่อนคุยคืนเดียว…หลังจากนั้นไม่นาน แม่ผมก็ตาย และผมก็ไปเป็นกะลาสีเรือ”

ยกไจ๋ มีเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กชื่อ แดนนี่ (จางเซียะโหย่ว) แดนนี่นั้นหลงรัก มี่มี่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ แต่ก็ต้องปิดบังความรู้สึกเอาไว้ กระทั่งแม่เลี้ยงของยกไจ๋ตัดสินใจย้ายไปอยู่อเมริกากับแฟนใหม่ เธอยอมบอกยกไจ๋ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาอพยพไปอยู่ที่ฟิลิปปินส์

ยกไจ๋ ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างที่อ่องกงและเดินทางไปฟิลิปปินส์ ก่อนไปเขานัด แดนนี่ ออกมาพบเพื่อกล่าวลาเพื่อน แดนนี่ถามเขาว่า “เธอรู้หรือยัง..” ยกไจ๋ตอบเพียงว่า “ยังไงฉันก็จะไป ถ้าเธอมาถามบอกว่าฉันไปแล้วก็พอ” แล้วก็ยื่นกุญแจรถให้แดนนี่ “เอาไปสิ ฉันรู้แกชอบมัน ดูแลมันให้ดี”

แดนนี่ ไปหา มี่มี่ ที่ไนท์คลับและบอกกับเธอว่า ยกไจ๋ ไปฟิลิปปินส์แล้ว แดนนี่ พยายามทำดีกับ มี่มี่ ทุกอย่าง (อาจจะดีกว่าที่เธอเคยได้รับจาก ยกไจ๋ ด้วยซ้ำ!!!) แต่ก็โดนปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เธอบอกแดนนี่ว่า “..ถึงไม่มีเขา ฉันก็ไม่รักคุณหรอก..”

จากนั้น แดนนี่ นัด มี่มี่ ออกมาพบแล้วก็ยื่นธนบัตรปึกหนึ่งให้เธอ มี่มี่ ถามว่า “เงินมากขนาดนี้เอามาจากไหน” แดนนี่ไม่กล้าสบตากับเธอ เขาตอบเพียง “ก็อย่างคุณว่า..ผมแทนเขาไม่ได้ รถนั่นเขาขับขับดูเท่สะบัด เป็นผมขับยังไงก็ดูตลก ขายซะดีกว่า” เขาบอกให้เธอไปหา ยกไจ๋ ที่ฟิลิปปินส์ (ด้วยเงินที่เขามอบให้) และฝากเธอบอก ยกไจ๋ ด้วยว่า “รถเขาดีเกินไปสำหรับผม” สุดท้ายแดนนี่บอกกับเธอว่า “ถ้าไม่เจอเขา กลับมาหาผมนะ..” แล้วก็เดินจากไป ทิ้งเสียงร้องไห้ของ มี่มี่ ไว้เบื้องหลัง?

ที่ฟิลิปปินส์ ยกไจ๋ ไปถึงบ้านแม่ของเขา แต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาพบ โดยให้คนรับใช้บอกว่าเธอย้ายไปที่อื่นแล้ว ยกไจ๋ รีบเดินออกจากบ้านหลังนั้น เขารู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองดูเขาอยู่ เขาคิดว่า “เมื่อเธอไม่ยอมให้เขาพบ เขาก็จะไม่ยอมให้เธอได้เห็นหน้าเช่นกัน”

หลังจากนั้น ยกไจ๋ ตัดสินใจเดินทางไปอเมริกา ระหว่างรอหนังสือเดินทาง (ปลอม) เขายังคงใช้ชีวิตเสเพลเช่นเดิม สุดท้ายก็โดนผู้หญิงมอมเหล้า โดนรูดทรัพย์ไปจนหมดและปล่อยให้นอนหลับอยู่ข้างถนน โชคดีที่ตำรวจหนุ่ม (หลิวฯ) ผ่านมาพบเข้า (เขาอยู่ระหว่างพักรอเรือของเขาถ่ายตู้สินค้าที่ฟิลิปปินส์)

รุ่งเช้า ยกไจ๋ และ หลิวฯ ไปที่สถานีรถไฟ หลิวฯ เข้าใจว่า ยกไจ๋ จะมาขึ้นรถไฟ แต่ที่จริงแล้ว ยกไจ๋ มาเพื่อรับหนังสือเดินทางที่จ้างพวกมาเฟียจัดการให้ (ทั้งที่เขาไม่มีเงินจะจ่าย!!) เมื่อรู้ว่าโดนหักหลัง ยกไจ๋ จึงโดนพวกมาเฟียตามฆ่า หลิวฯ ช่วยเขาออกมาจากที่นั่น ทั้งสองหนีขึ้นรถไฟไป

บนรถไฟ หลิวฯ ต่อว่า ยกไจ๋ ที่ก่อเรื่องกับพวกมาเฟีย ยกไจ๋ ว่าตัวเขาไม่สนใจหรอก ยังไงคนเราก็ต้องตายกันทุกคน เรื่องนี้หลิวฯ เอาตัวเองเข้ามาพัวพันด้วยเอง เขาไม่ได้ร้องขอให้หลิวฯ ตามมาที่สถานีรถไฟ ระหว่างที่หลิวฯ เดินไปที่หัวขบวน ยกไจ๋โดนมาเฟียที่ตามขึ้นรถไฟมายิง

ระหว่างรอการมาถึงของห้วงสุดท้ายของชีวิต หลิวฯ ถามยกไจ๋ว่า “ยังจำได้ไหมว่าเขาทำอะไรอยู่ วันที่ 16 เมษา ปีก่อน ตอนบ่ายสาม” ยกไจ๋ จึงนึกออกว่าเขาเคยพบหลิวฯ มาก่อน ยกไจ๋ ว่า “เขาจำเรื่องที่ควรจำได้เสมอ..สำหรับเขา เรื่องนี้มันจบไปแล้ว”

บทสุดท้ายของเรื่องจบลงที่ “สนามกีฬาแห่งเดิม” โซวไหล่เจิน ทำงานเสร็จแล้ว เสียงโทรศัพท์ (ที่ตู้โทรฯ สาธารณะแห่งนั้น) ดังขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่มีใครมารับโทรศัพท์

ด้วยโครงเรื่องโดยรวมของหนัง ก็เป็นนำเสนอเรื่องราวของความรักภายให้สถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ได้ต่างจากละครโทรทัศน์หลังข่าวบ้านเราเลย แต่จุดเด่นที่ทำให้หนังดูมีคลาสมากขึ้น แน่นอนว่ามาจากบทพูดและความคิดของตัวละครที่เราได้ยิน คำพูดเหล่านั้นฟังดูเท่ คมคายและเต็มไปด้วยนัยยะแอบแฝงชวนให้ตีความ (อย่างที่ผมนำบางส่วนมาลงประกอบในบทความชิ้นนี้) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นอย่างยิ่งในหนังของ หว่องกาไว ทุกเรื่อง (เท่าที่ทราบในการถ่ายหนังทุกเรื่อง หว่องกาไว จะมีเพียงโครงเรื่องคร่าว ๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอืยดที่เหลือทั้งหมดเขาจะใช้วิธีด้นสด จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันที่ถ่ายทำจริง ๆ)

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจสำหรับผมคือ การเปรียบเทียบตัวละครนำฝ่ายชายทั้งสองคือ “ยกไจ๋” กับ “ตำรวจหนุ่ม”

ยกไจ๋ ขังตัวเองในโลกแห่งความฝัน เขาไม่เคยรับรู้การมีอยู่ของโลกแห่งความจริง อาจเพราะมีแม่เลี้ยงที่คอยปัดป้องไม่ให้สิ่งเหล่านี้เข้าถึงตัวเขา (คอยเลี้ยงดู ส่งเงินให้ใช้ไม่เคยขาด) คิดเสมอว่าตัวเองเป็นนก ต้องการมีชีวิตอิสระ (ไม่ยึดโยงกับกรอบของสังคม ไม่ทำงาน) เมื่อเผชิญอุปสรรค (ไปไหนไม่ได้ เพราะยังติดขัดในใจเรื่องพ่อแม่ของตัวเอง ทำให้ไปจากแม่เลี้ยงไม่ได้) ก็นิ่งเฉย (รอให้แม่เลี้ยงบอกความจริง) ระหว่างนั้นก็เสนอขายฝันตัวเองให้คนอื่น (โซวไหล่เจินและมี่มี่) เพื่อเอามาหล่อเลี้ยงความฝันของตัวเอง

เช่นเดียวกัน ตำรวจหนุ่ม ก็มีความฝันที่จะเป็นกะลาสีเรือ แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของความจริง เขามีแม่ที่ต้องดูแล เขาไม่ปฏิเสธความจริงข้อนี้ ไม่ด่าทอโชคชะตาของตนเองและแบกรับมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ขณะเดียวกันก็ใช้อุปสรรคนั่นเป็นแบบทดสอบ หากความมุ่งหมายนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ย่อมแน่ใจได้ว่าเป็น “คำตอบสุดท้าย” อย่างแท้จริง

แน่นอนว่าหากมองจากภายนอก คนแบบยกไจ๋ย่อมมี “จุดขาย” มากกว่าคนแบบตำรวจหนุ่ม แต่สุดท้ายเมื่อออกไปเผชิญโลกอย่างแท้จริง คนที่มีแต่ทฤษฎีแต่ไม่เคยปฏิบัติอย่าง ยกไจ๋ ก็ไปไม่รอด (สุดท้ายแล้ว ที่ตัดสินใจไปอเมริกา ไม่แน่ว่าตั้งใจจะกลับไปอยู่ในกรงทองของแม่เลี้ยงอีกครั้งรึไม่) ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ “ของจริง” อย่างที่ตัวเองคิดว่าเป็น

ผมยังจำประโยคที่หลิวฯ พูดตอนที่ ยกไจ๋ กำลังจะเริ่มเล่าเรื่องนกไร้ขาให้เขาฟังได้ดี “ไอ้ตัวที่ไม่มีขารึ เก็บเอาไว้หลอกผู้หญิงเถอะ นกหรือ นกบ้าอะไร คุณก็แค่คนเมาที่ผมเจอในไชน่าทาวน์!!”

ม้าก้านกล้วย