ฉันเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนเข้มแข็งมากคนหนึ่ง เพราะฉันไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น และไม่ค่อยสะท้านสะเทือนกับอะไรง่าย ๆ ความอ่อนแอ อ่อนไหว นะเหรอ ถูกฉันกำจัดออกไปให้พ้นจากตัวมานานมากแล้ว

หลายครั้งหลายคราที่การแสดงออกของฉัน (แววตาที่เฉยชากับคำพูดจาที่แห้งแล้ง) มันเผลอไปทำร้ายใครต่อใครเข้าอย่างจัง แต่ฉันก็ไม่เคยเอ่ยปากขอโทษใครง่าย ๆ เพราะฉันมันหยิ่งเกินไป

สำหรับฉันแล้ว ฉันไม่ชอบเดินตามหลังใคร และไม่ชอบให้ใครมาเดินตามหลัง หากใครไม่พร้อมที่จะก้าวไปพร้อมกัน ฉันก็จะเดินจากไปอย่างทรนง…

จริง ๆ แล้วฉันก็เคยผิดหวังและเสียใจกับเรื่องบางอย่าง แต่ทุกครั้ง ฉันจะบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” พร้อมกับเดินเชิดหน้าต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ให้ตายเถอะ ฉันเกลียดความอ่อนแอที่สุดเลย!!!
แต่ครั้งนี้มันหนักหนาเกินกำลังที่ฉันจะรับไหวจริง ๆ 

ฉันจำไม่ได้ว่า ได้ขังตัวเองไว้นานเท่าไหร่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ นี้ ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาแล้วกี่มื้อ ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากทำอะไร นอกจากการหลั่งน้ำตาออกมาลบล้างเรื่องราวบางอย่างที่ยังฝังใจ ฉันเอาแต่ร้อง ร้อง และก็ร้อง…

ฉันจำไม่ได้ว่าเป็นอย่างนี้มานานแค่ไหน… ไม่ยอมรับรู้ว่าเหตุการณ์ข้างนอกเปลี่ยนผ่านไปอย่างไร เข็มนาฬิกาที่ผนังห้องอาจยังคงหมุน แต่เข็มนาฬิกาในหัวใจของฉันมันหยุดเดินมานแล้ว กระทั่งวันที่ฉันเดินผ่านกระจกเงาบานหนึ่ง

วินาทีแรกที่เห็นตัวเองปรากฎกายในนั้น ฉันจำตัวเองไม่ได้ ฉันไม่เหลือคราบ ผู้หญิงจอมหยิ่งเหมือนในอดีต เป็นพียงภาพหญิงสาวที่ผ่ายผอมเต็มซึ่งไปด้วยโรคร้ายรุมเร้า อ่อนแอ และอิดโรย…

ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันใด

ในหัวกำลังนึกถึงใครบางคนที่ทำให้ตัวเองมีสภาพเช่นนี้ …ใครบางคน… ที่ฉันเคยเคียงข้างปลอบประโลม ในวันที่เขาอ่อนแอมากที่สุด… ใครคนหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ ทำให้ฉันรู้สึกอาทรและไม่อาจจะดูดายในวันที่เขาไม่เหลือใคร… และใครคนนั้นเองที่ทำให้ฉันเจ็บจนวันนี้…

จริงอยู่ ฉันไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันไม่เคยมีน้ำตาเสียหน่อย ตรงข้ามฉันร้องของฉันบ่อยไป แค่เพียงได้ยินเรื่องราวเศร้า ๆ บทเพลงเก่า ๆ 

“ฉันไม่แข็งแกร่ง อย่างที่ใครเขาคิดหรอก
ฉันมันจนตรอก ไม่รู้ชีวิตจะเดินทางไหนดี”

บทเพลงคนผ่านทางแว่วมา ทำให้น้ำตาร่วงบ่อย ๆ ฉันแค่ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาเพราะ มันเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ 

ฉันเคยบอกกับเพื่อนว่า “มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่ร้องไห้” ในวันที่เพื่อนรักแสนเศร้าใจ นั่นเป็นเพราะฉันปลอบโยนใครไม่เป็น ฉันเพิ่งเข้าใจเพื่อนรักในวันนี้นี่เอง

ฉันสบตาตัวเองในกระจก และยังคงคิดถึงใครคนนั้นอยู่ เขาทำให้ฉันสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองที่ฉันหวงแหนมานาน

ฉันมันเหมือนเด็กซนที่แอบหนีไปเที่ยวนอกบ้าน แล้วเจ็บตัว แต่พอรู้ตัวเจ็บ กลับไม่ยอมกินยารักษาให้หาย มัวแต่ฟูมฟาย เผ้าแต่โทษผู้อื่น

“ทำไมไม่มีใครบอกฉันซักคำ ว่าข้างนอกนั่นลมมันแรง”

“ทำไม่มีใครเตือนฉันซักคนว่าต้องสวมเสื้อหนา ๆ”

“ทำไมต้องเป็นฉันที่ไม่สบาย”

…..ทำไม และทำไม

“ถ้าฉันรู้…ฉันจะไม่ออกไปเด็ดขาด”

ฉันมันแค่เด็กดื้อคนหนึ่งที่อยากเล่นซนแต่ไม่ยอมเจ็บตัว 

แล้วฉันยังจะทรมานตัวเองไปเพื่ออะไร – มีคนเคยบอกว่าที่จริงฉันไม่ได้เข้มแข็งหรอก แต่เป็นเพราะฉันอ่อนแอเกินไปต่างหาก ฉันจึงหวาดระแวง และสร้างเกราะขึ้นมาเต็มไปหมด เกราะ…ที่ป้องกันใครต่อใครมาทำร้าย เกราะ…ที่แข็งกร่ง แต่แสนจะเปราะบาง 

เพราะฉันมันคนขี้ขลาด

วันนี้ฉันรู้แล้วว่าที่ฉันป่วยไข้ในคราวนั้นไม่ใช่เพราะลมมันแรงหรือฝนตกหนัก แต่เป็นเพราะตัวฉันเองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันความเจ็บปวดใด ๆ ทั้ง ๆ ที่คนเรามีโอกาสเจ็บป่วยได้ทุกเมื่อ

เพื่อนคนหนึ่งบอกฉันว่า “อย่ามัวโทษคนอื่นหรือดินฟ้าอากาศอยู่เลย เพราะด้วยความเป็นเราแล้ว ถ้าเราจะไปต่อให้ฝนตก แดดออก ลมแรงแค่ไหน เราก็จะไปมิใช่หรือ…”

ใช่ เพราะฉันมันเด็กดื้อ!!!

ก็แค่ใครบางคนที่จากไปแล้วในวันวาน ต่อให้ฉันร้องแทบตายเขาก็ไม่กลับมา แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งเคยมีคนทำให้ฉันรู้สึกอ่อนไหว ครั้งหนึ่งผู้หญิงอ่อนไหวคนนี้แหละที่ความอ่อนแอโอบอุ้มใครคนนั้นจนรู้สึกดีขึ้นมาได้ 

ฉันผละตัวออกมาจากหน้ากระจกเงา

จะไม่มีอีกแล้ว…ผู้หญิงที่อ่อนแออย่างวันนั้น

ธิดามนต์ พิมพาชัย