“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ… ได้ทุกเรื่องเลย เพื่อเป็นการไถ่โทษ ไถ่บาปหรืออะไรก็แล้วแต่… พี่ยินดีที่จะช่วย” เค้าเอ่ยแต่เพียงเท่านี้ฉันก็ใจอ่อน แถมสมองยังฝ่อ จำไม่ได้อีกว่าเคยเจ็บกับคน ๆ นี้มามากแค่ไหน ดูเหมือนหน่วยความจำมันไม่ยอมทำงาน
ฉันเองก็สับสนว่าระหว่าง “การเป็นคนชอบให้โอกาสคน” กับ “เป็นพวกเจ็บแล้วไม่รู้จักจำ” ฉันจัดอยู่ในคนประเภทไหนกันแน่? แต่ก็ช่างเถอะ!!! ฉันพยายามไม่ใส่ใจกับเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วล่ะ ขอแค่ได้เดินข้าง ๆ เขาอีกครั้งก็เป็นพอ ได้ค้นหาความเป็นตัวตนของใครบางคนมันก็คุ้มแล้ว เมื่อเจ้าปีศาจร้ายที่มันเคยกลืนกินร่างนั้นได้จากไป ตอนนี้เขากลับมาเป็นพี่ชายที่น่ารักของฉันคนเดิมแล้วล่ะ แล้วฉันยังต้องการอะไรอีก หือ
แกตั้งใจฟังหน่อยสิ!!
ฉันเคยถามใครต่อใครว่า “จะมีใครบ้างไหม ที่มีความรักในแบบที่ไม่ต้องการรักกลับคืนมาบ้าง?” ฉันว่า… ไม่มีหรอก ไม่แน่ ๆ คนเราต่างก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น การที่เราบอกว่ารักใครสักคนนึง อย่างน้อยเราก็ต้องการความรักตอบกลับมา ฉันว่า.. นี่แหละคือวิถีมนุษย์
แต่บางคนก็แย้งว่าคนที่เรารักเค้าด้วยใจจริงก็ต้องมีบ้างล่ะ รัก… อย่างที่แค่เห็นเขามีความสุขก็เพียงพอ
อาจดูเหมือนนิยายน้ำเน่านะ แต่เชื่อไหมล่ะ ผู้หญิงอย่างฉันกลับเลือกที่จะคิดแบบวิธีที่ 2 จนได้ แกไม่เชื่อใช่มั๊ยล่ะ
ฉันบอกตัวเองทุก ๆ วันว่า “ในยามที่เค้าไม่มีใครแบบนี้ ฉันทิ้งเขาไปไม่ได้หรอก เขาไม่รักฉันก็ไม่เป็นไร การที่เราได้ยืนอยู่ข้าง ๆ คนที่เรารัก มันก้มีความสุขมากพอแล้ว?”
แต่เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไป… แกรู้มั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้น
วันนึง….ฉันกลับได้รู้ว่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้อ่อนแอและต้องการกำลังใจอย่างที่ฉันคิดเลยสักนิดเดียว เขามีกำลังใจที่ดีมากมายรายล้อม เขาเข้มแข็งและอ่อนไหวไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
ไม่ .. ฉันไม่เคยรู้ มาก่อน…
ไม่เคยรู้ว่ามีความรู้สึก… ประมาณว่าอึดอัด หนักใจ ความกดดัน มันเกิดมาจากรอยยิ้มของฉันเอง
ความรู้สึกอึดอัด… ซึ่งมาจากการที่ฉันยังยืนอยู่ข้าง ๆ อัดแน่นอยู่ภายในใจดวงนั้น แต่ถูกกลั่นออกมาเป็นเพียงคำพูดจาที่สุภาพและอ่อนโยนว่า “ยุ่งมาก และไม่อยากให้มาเจอกันอีก” ก็ไม่เป็นไร ไม่รบกวนดีกว่า
แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า เค้ามีใครอยู่ทั้งคน (อีกแล้ว) ต่างหาก ความจริงที่ไม่อยากเจอเพราะมีคนใหม่ที่สำคัญกว่า สำคัญกว่างานที่ชอบบอกว่ายุ่งนักยุ่งหนา ฉันได้แต่ตกใจและทำอะไรไม่ถูก เมื่อได้รับรู้สิ่งเหล่านั้น
ก็ว่าจะไม่โกรธแล้วเชียว
ก็บอกกับตัวเองเป็นล้านครั้งแล้วเชียวว่า… ฉันจะมีความสุขถ้าเขามีความสุข แต่การที่เขามีความสุข ทำไมนะ ทำไม การที่เขามีคนอื่นอีกมากมาย กลับเป็นเหตุผลที่ฉันรับไม่ได้ ทำไมฉันไม่ยิ้มให้เขาเหมือนทุกวัน ที่ผ่านมา… คิด.. คิด.. คิด (ปวดสมองว่ะ)
ฉันหลอกตัวเองไม่ไหวอีกต่อไปว่า….ไม่เสียใจเลย ถามตัวเอง “จะอยู่ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ต้องการอีกต่อไปได้ไหม รู้ไหมฉันให้คำตอบกับตัวเองว่าอย่างไร?”
ที่แท้ฉันมันก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่ทำเพื่อตนเอง… แกอย่าว่าเค้าดิฟังเฉย ๆ … ไม่เชื่อ แววตาแกมันฟ้อง
หลังจากวันนั้น ฉันรู้สึกเหมือนตนเองตัวเล็กลง เล็กลงเรื่อย ๆ เป็นแค่ฝุ่นละอองที่ไร้ความหมาย อีกไม่นานก็จะกลายเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน นี่เรายังเดินเคียงข้างกันอยู่ใช่ไหม? แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกว่า ฉันเดินอยู่เพียงลำพัง เหน็บหนาว และเดียวดาย…
ฉันจึงนึกถึงประโยคนั้นที่เค้าเคยบอกไว้ เอ… หรือเค้าลืมมันไปแล้ว? ไม่แน่ใจ
แต่ฉันก็ยังจะขอคงไม่ขออะไรมากไปกว่าที่เค้าจะให้ได้หรอกนะ ฉันขอแค่…ให้เค้าลืมฉัน ลืมเรื่องราวระหว่างกัน ลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมดออกจากใจได้ไหม? ฉันไม่อยากเป็นเหมือนคนอื่น ๆ ที่เดินทางผ่านเข้ามาชีวิตของเค้า
ฉันมันเป็นเพียงแค่ละอองชีวิตเล็ก ๆ ที่ไร้ค่าสำหรับเค้า… ฉันรู้
ถ้าเค้าอยากจะจำก็ขอให้จดจำไว้ว่า “ฉันไม่เคยเดินผ่านมาบนเส้นทางนี้ หรือไม่… ก็ไม่เคยมีฉันบนโลกใบนี้ หรือถ้ามี ฉันก็ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วล่ะ” ความทรงจำอันใหม่นี่ต่างหากที่จะทำให้รอยยิ้มของเค้ามันกว้างขึ้นกว่าเก่า สบายใจกว่าเก่า ชีวิต ภาระ หน้าที่ ของเค้ามันยิ่งใหญ่นักไม่ใช่เหรอ? งั้นก็อย่าปล่อยให้เงาของผู้หญิงงี่เง่าที่วัน ๆ มีแต่เรื่องมาคอยรบกวนสมองอยู่อีกเลย
แล้วฉัน… จะพาละอองชีวิตเล็ก ๆ ของฉันพร้อมกับความทรงจำอันใหม่ เดินทางออกไปจากโลกของเค้าเอง!!!
แกว่า เขาจะทำได้ไหมวะ
ความจริงฉันมีความสุขกับทุก ๆ วันที่ผ่านมา (ไม่รู้เค้าจะเชื่อรึเปล่า) ชีวิตมันต้องเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ จึงจะถือได้ว่าชีวิตเป็นชีวิต ต้องมีทุกข์ มีสุข คละเคล้ากันไป มันจะสมหวังไปซะทุกเรื่องได้อย่างไร
เค้าสอนให้ฉันได้เข้าใจว่าเหตุใดแม่จึงร้องไห้ในบางวัน… สอนให้รักและเข้าใจพ่อมากขึ้น รักผู้คนในครอบครัว รักผู้คนรายรอบกาย และที่สำคัญ …รักตัวเองมากขึ้นด้วยล่ะ และได้รู้ว่าเสียงหัวเราะนั้นมีค่ามากมายแค่ไหน …
ฉันต้องคอยเตือนตัวเองให้ตระหนักในคุณค่าของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่บ่อย ๆ ว่า “วันนี้เธออย่ามีความสุขมากเกินไปนะให้สุขแต่เพียงพอดี เพราะว่าวันพรุ่งนี้เธออาจจะต้องร้องไห้อีกตั้งเท่าไหร่ก็ไม่ไม่มีทางรู้”
โธ่… ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้หญิงที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้ใคร ต้องร้องไห้น้ำตาไหลพราก ๆ แค่ได้เห็นกับข้าวที่เค้าชอบกิน หรือแค่ได้ยินเสียงเพลงที่เค้าชอบฟัง บางครั้ง… ผู้หญิงคนนั้นก็ทำตัวเหมือนคนบ้าที่นั่งมองภาพเก่า ๆ แล้วยิ้ม…ยิ้ม… ในขณะที่น้ำตากำลังไหลอาบสองแก้มอยู่ ทั้งหมดนั่นล่ะคือความสุขทั้งหมดของฉันในแต่ละวัน มีเรื่องมากมายให้ต้องจดจำ
ฉันขอสัญญาไว้กับตัวเองว่า จากนี้ไปฉันจะไม่มีวันทำให้คนที่ฉันรักหรือคนที่รักฉัน ต้องเสียใจเป็นอันขาด เพราะการที่ใครบางคนถูกปล่อยให้ต่อสู้อย่างเหน็บหนาวเพียงลำพังโดยปราศจากซึ่งคนรักยืนเคียงข้างกาย ไร้กำลังใจ หรือแม้แต่รอยยิ้มแห่งความหวังเล็ก ๆ นั้น มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดยิ่งนัก
เค้าให้บทเรียนฉันตั้งมากมาย แกบอกฉันสิว่ามีอะไรที่ฉันต้องโกรธเค้าอีกหรอ?
ชีวิตคนเราก็เท่านี้จริง ๆ ด้วย
แกฟังฉันอยู่ใช่มั้ย…
ที่ตัดสินใจเดินจากมาไม่ใช่ว่าฉันหมดรักเค้าแล้วนะ ฉันรักเค้าและรักมากขึ้นกว่าเก่าซะอีก แต่เพราะรักต่างหากล่ะ จึงต้องจากลา “มีคนบอกว่า ผู้ชายกับผู้หญิง ถ้าอยู่ใกล้ชิดกันมากเกินไป มักจะดึงดูดกันและกัน กลายเป็นวังวน จมดิ่ง และสูญสลายไปพร้อมกับความใฝ่ฝันและจินตนาการอันแกร่งกล้า ถ้าความรักของฉันมันจะทำให้โลกของเค้าหยุดนิ่งในหนึ่งข้างหน้า ฉันก็คงรับไม่ไหวหรอกนะ (ฉันรู้ว่าความจริงเค้าเองก็คงไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้นแน่) ฉันไม่อยากทำร้ายเค้าสักเลยนิดเดียว…”
ฉันเคยเวทนาผู้คนที่ค้นหาตัวเองไม่เจอหรือไม่ยอมค้นหาก็ตามแต่ ฉันเรียกคนพวกนั้นว่าพวกไม่รู้จักหัวใจตัวเอง ต้องจมอยู่กับวงจรชีวิตที่แสนเบื่อหน่ายกระนั้นก็ยังทนทำอยู่กับความซ้ำซากทุกเมื่อเชื่อวัน แต่จะมีอะไรที่น่าเวทนาไปกว่า การที่เราได้ค้นพบทางเส้นนั้นเจอแล้วแต่ไม่สามารถเดินทางไปต่อได้อีกล่ะ
แต่ฉันไม่ได้ไปค้นหาตัวเองอย่างที่เค้าชอบว่าหรอกนะ ฉันค้นเจอตัวเองที่นี่ ฉันค้นพบหัวใจตัวเองแล้วว่าฉันต้องการอะไร เพียงแต่ฉันต้องเดินถอยหลังออกไปยืนส่งยิ้มให้พี่ที่อีกฟากหนึ่งเท่านั้นเอง
ฝากแกบอกเค้าด้วยนะว่า
บางที…ฉันอาจอยู่บนดวงดาวที่เค้าแหงนมอง
บางที…ก็อยู่ในสายลมหนาวโลมไล้ข้างกายเค้า
บางที…ก็อยู่ในความฝัน จริงอยู่แม้ฉันจะยอมให้พี่รู้สึกว่าฉันตายไปจากชีวิตเค้าแล้วจริง แต่เค้าต้องรู้สิว่า ถ้าคนเราตายไปดวงวิญญาณก็ยังคงอยู่นี่ และดวงวิญญาณของฉันก็จะล่องลอยอยู่ ในทุก ๆ ที่เค้าไปเช่นกัน
ฉันยังเป็นผู้หญิงคนเดิมกับที่เค้าชอบบอกว่า เย็นชาและเมินเฉยต่อทุกสิ่ง? ฉันเคยรักใครบ้างรึเปล่า? เธอรู้มั๊ย ฉันว่า เค้าควรถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้บ้างนะบางทีพี่อาจได้พบคำตอบที่แท้จริงที่อยู่ในใจสักวัน ว่าเค้าต้องการอะไร? จะเดินทางไหน? จะมีใครร่วมทาง? ฉันได้ภวนาขอให้เค้าได้ค้นพบสิ่งที่หัวใจปราถนาด้วยตัวเองสักทีเถิด…
อืม.. แม้คน ๆ นั้นจะไม่ใช่ฉันก็ตาม
ฉันจะเลิก บอกว่ารักเค้าแล้วล่ะ จะได้หายอึดอัดซะที และถือซะว่าไม่เคยได้ฟัง
นี่เป็นวิถีของฉันล่ะ ฉันแค่ไม่ชอบเดินตามหลังใคร โดยเฉพาะเมื่อยามที่หวาดระแวงในเส้นทางข้างหน้าว่า เค้าพาเรามาถูกทางรึเปล่า เป็นทางเส้นเดิมรึเปล่า ฉันยินดีเดินเส้นทางใหม่น่ะ แม้จะเดินอย่างเดียวดายก็ยอม แม่ชอบบอกว่าฉันมันคนหยิ่ง จองหอง แต่ฉันคิดว่า ฉันเป็นชอบจัดการปัญหาด้วยวิธีการของตัวเองมากกว่า
ฉันหวังว่าเค้าคงพอใจกับความทรงจำอันใหม่นะ แก
แกยังฟังฉันอยู่มั๊ยเนี่ย!!! ว้า หลับซะแล้ว ขนาดแกยังไม่อยากฟังฉันเลยใช่ไหม เจ้าหมาน้อย
ฉันชอบให้โอกาสคนเป็นครั้งที่สองนะ แต่ไม่เคยถึง… สาม ซักที
ธิดามนต์ พิมพาชัย
อ่านไปเหมือนเธอได้ตัดขาดความรู้สึกจากคนๆหนึ่ง
ไปแล้ว แต่มันเหมือนจะตัดไม่ได้ก็ตรงบรรทัดสุดท้ายนี่แหละ
เพราะไม่รุ้ว่าเค้าได้โอกาสจากเธอกี่ครั้งแล้ว
ฉันเชื่อว่าพี่ชายของเธอต้องเข้ามาอ่าน
อยากบอกอะไรกับเธอมากมาย แต่เค้าคงหยิ่งเกินไปที่จะตอบลงในนี้