นี่เป็นครั้งแรก ในรอบหลายเดือนที่ได้เดินทางลงพื้นที่ และคงจะห่างหายจากการเดินทางไปอีกนานทีเดียว

มหาสารคาม… สถานที่เดิม ๆ กับน้อง ๆ เด็กค่าย ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เห็นมีหน้าใหม่ๆ เข้ามาบ้าง แต่ยังไม่ค่อยสนิทสนมมากเท่าไรนัก เอาไว้ในค่ายก็คงได้คุยกัน ค่ายที่พูดถึงคือ “ค่ายเพลงฯ” แบบเดียวที่เคยจัดกันเมื่อปีที่แล้ว (ค่ายจิตร ภูมิศักดิ์) ทำให้รู้สึกว่าวันเวลาหมุนผ่านเราไปรวดเร็วอย่างน่าใจหาย ในขณะที่เรายังทำอะไรไม่สมกับที่ตั้งใจเอาไว้ 

ฉันมักจะเป็นอย่างนี้ทุก ๆ ครั้ง ไม่ว่าจะครบรอบวันเกิด วันปีใหม่ หรือวันไหน ๆ ที่เคยตั้งเอาไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้น เมื่อมันแวะวนมาครบขวบปี ความรู้สึกในวันนั้นก็คือ นึกถึงปณิธานเก่า ๆ ที่เคยตั้งใจว่าจะทำ แต่ทำไม่ได้ หรือไม่ได้เริ่มต้นก็ไม่แน่ใจ ทั้งที่เป็นเพียงสิ่งง่าย ๆ เช่นว่า ฉันจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านั้นเล่ม ฉันจะเริ่มทำอย่างนั้น ฉันจะเริ่มทำอย่างนี้ จะเลิกนิสัยแบบนี้ บางสิ่งก็ทำได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ บางส่วนก็ยังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้น นึกแล้วก็ได้แต่รู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านไป ซึ่งก็นำกลับคืนมาไม่ได้ ลองคิดดูเล่น ๆ ถ้าเราเริ่มทำเสียแต่ตอนนั้น ป่านนี้ก็คงบรรลุผลไปเรียบร้อยแล้ว

ช่างเถอะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งเสียดายวันเวลาเก่า ๆ และคิดว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่เป็นแบบนี้ หากคนเราทำอะไรได้ดังใจคิดไปซะทุกคนล่ะก็ คงไม่มีใครมานั่งบ่นพ้อกับการกระทำของตนเองหรอก 

การเดินทางในครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งก่อน ๆ เดินทาง พบปะผู้คน จะต่างอยู่บ้างก็ตรงที่ ฉันจำเป็นต้องระมัดระวังมากขึ้น ระวังทุกจังหวะการก้าว การเดิน การกิน การนอน เพราะฉันไม่ได้มาตัวคนเดียว แต่มีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ไปไหนมาไหนด้วยเสมอ…

ใช่… ฉันท้อง ขณะนี้ก็ย่างเข้าเดือนที่ 4 แล้ว

การระมัดระวังที่ว่า ก็เพื่อให้สุขภาพเด็กยังสมบูรณ์และแข็งแรง

ได้แต่รู้สึกว่า ตนเองกลายเป็นคนขี้เกียจ และน่าเบื่อหน่ายที่สุดในค่ายครั้งนี้ ฉันมักจะนั่งง่วงซึมขณะที่คนอื่นกำลังสนุกสนาน กระนั้นยังคงฝืนทนที่จะนั่งอยู่ทั้งที่ไม่มีกระจิตกระใจนึกสนุก บ่อยครั้งก็แอบมาหาที่งีบหลับในเวลากลางวัน 

สถานที่พักเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง ผู้ชายนอนด้านนอก ส่วนผู้หญิงมีห้องหับจัดไว้ให้ด้านใน แต่ีห้องน้ำอยู่ห่างจากตัวบ้านเยื้องไปทางด้านข้าง สักหน่อย นั่นเป็นปัญหาสำหรับฉันมากทีเดียว เพราะคืนหนึ่ง ๆ ต้องเข้าห้องน้ำถึง 3-4 รอบ จะนอนได้ต้องรอจนกว่ากิจกรรมกลางคืนจะเสร็จ แต่ยังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาออกกำลังกาย ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ 

ฉันเกลียดตัวเองเวลานี้ …เกลียดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจซักอย่าง รู้สึกว่าร่างกายมันไม่ใช่ของเรา มันทรยศต่อเราที่อยากจะทำอะไร ๆ ให้ได้เหมือนเดิม

ก่อนหน้านี้สักหนึ่งสัปดาห์ ฉันได้ซักผ้าเพื่อเตรียมตัวเดินทางในครั้งนี้ ซึ่งเป็นปกติที่จะซักด้วยมือ (เว้นแต่พวกกางเกงหรือผ้าหนา ๆ ถึงจะยอมปั่นเครื่อง) แค่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นในความรู้สึก ตอนซักก็ไม่ได้เป็นอะไร เท่าไหร่ แต่พอตกช่วงกลางคืนดึก ๆ กลับเริ่มรู้สึกปวดร้าวลึก ๆ เจ็บแปลบ ๆ ในกระดูกตั้งแต่ช่วงขาท่อนบนไปถึงสะโพก ช่วงแรก ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แตเริ่ม่มารู้ทีหลังแล้วว่า อาการแบบนี้จะถามหาทุกครั้ง หลังจากยกของที่หนัก ๆ ซึ่งเมื่อก่อนเคยยกได้อย่างสบาย ต่อไปนี้ต้องมานั่งปวดหลัง ปวดเอว เหมือนคนเสแสร้ง ขี้โรค และอ่อนแอ ฉันจึงได้รู้ว่า นี่เอง คือ ความลำบาก การที่เราอยากทำอะไร แล้วทำไม่ได้ หรือทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เป็นสิ่งที่ไม่น่าภาคภูมิใจเอาเสียเลย 

ฉันเคยกินกาแฟวันละ 2 แก้ว ข้าวเช้า ข้าวเที่ยง นาน ๆ จะตกถึงท้องสักหน ส่วนใหญ่จะรวบมื้อเดียวคือมื้อเย็น พฤติกรรมเหล่านี้จำต้องปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น (ตามอัตภาพ) ที่เหลือคือพฤติกรรมการเข้านอน และการพักผ่อน ที่มักจะเลยเที่ยงคืน ตีหนึ่งอยู่บ่อย ๆ คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงอะไร ในเมื่อเราตั้งใจแล้ว เราต้องทำให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็เป็นการให้โอกาสอีกชีวิตหนึ่งได้ลืมตามาดูโลก ต่อไปก็จะมีจินตนาการ มีความฝัน มีความเป็นคนอย่างสมบูรณ์ แม้ฉันจะยังไม่พร้อมในบางเรื่องก็ตามที 

แน่นอนว่าหมู่นี้ฉันจะเจอคำถามจากใครต่อใครอยู่บ่อยๆ เป็นต้นว่า ต่อไป ฉันจะทำอะไร ยังไง จะอยู่ที่ไหน จะเลี้ยงยังไง คิดดีแล้วใช่ไหม 

หลายคำถามฉันตอบออกไป อย่างง่าย ๆ ทื่อ ๆ เนื่องจากรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้ และเตรียมการมาพอสมควร 

ส่วนอีกหลายคำถาม ฉันไม่ได้ตอบอะไร ไม่ใช่เพราะไม่อยากตอบ แต่เป็นเพราะ แม้แต่ตัวเองยังตอบตัวเองไม่ได้เลยต่างหาก แล้วเราจะเอาอะไรไปตอบคนอื่น 

อย่างไรก็ตาม ยังนึกขอบคุณอยู่เสมอกับทุกความห่วงใย รอยยิ้ม และทุกคำถาม ที่ถามไถ่กันมา รวมไปถึงหนังสือคู่มือเล่มโตที่ผู้ใหญ่ใจดีในที่ทำงานให้มาเพื่อศึกษาแนวทาง เพราะฉันยังเด็ก และขาดประสบการณ์ในหลายเรื่อง อย่างน้อยก็ทำให้รู้สึกว่า ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกใบนี้ ยังมีอีกหลายคนที่คอยให้กำลังใจ แม้บางคนฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยสนิทเป็นการส่วนตัว ยังให้การดูแลกันเป็นอย่างดี ปกติฉันจะบ่น และหนีปัญหาที่เข้ามาในชิวิต

แต่ครั้งนี้ฉันได้เรียนรู้ว่า “ข้อดีของการเกิดปัญหาคือ มันทำให้เรารู้ว่า ใครจะอยู่ข้างเราบ้าง”

ด้วยหลาย ๆ ข้อความบางประการในหนังสือเล่มนั้น และจากคำบอกเล่าของหลาย ๆ คน นั่นเอง ทำให้การเดินทางครั้งนี้ต้องคอยระมัดระวังตัวเอง ไม่เดินเหินมากนัก ไม่ใช่เพราะฉันเป็นคนขี้ระแวงเกินเหตุ แต่ขี้เกียจจะมานั่งทนทรมานกับความเจ็บปวดเมื่อร่างกายมันลงโทษเราในภายหลัง 

สำหรับฉัน ค่ายนี้อาจไม่สนุกเท่าไหร่ แต่กลับมีความสุขใจลึก ๆ ที่ได้อยู่นิ่ง ๆ มันทำให้เห็นอะไร ๆ ได้ชัดเจนขึ้น 

เสียงบทเพลงค่ายที่แว่วมา… ยังคงปลุกให้คิดถึงรอยยิ้มของทุกคนในค่ายเสมอ

ธิดามนต์ พิมพาชัย
กุมภาพันธ์ 2552