
“ศิลปะ คือเครื่องมือหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาชุมชน และธรรมชาติคือต้นกำเนิดศิลปะ” คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนที่นี่.. ป่าภูผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
นายทุนกับการแสวงหาผลประโยชน์จากชาวบ้าน
ที่ชุมชนแห่งนี้ เป็นอีกชุมชนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเข้ามาของนายทุนที่คิดจะแสวงหาผลประโยชน์จากชาวบ้านจากสภาพแวดล้อม นั่นคือ การเข้ามาของโรงโม่หิน ที่ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนในชาชนด้วย
“ที่นี่โรงโม่หินมีหลายโรง ใน ต.ผาน้อย พอเข้ามาแล้วเกิดผลกระทบ 20 หมู่บ้าน ช่วงที่มีปัญหามาก พี่ผมคือ ครูประเวียน บุญหนัก เข้าไปหาโรงงานในนามสมัชชาเกษตรกรรายย่อย เรียกร้องให้จัดการกับความเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนทางเป็นฝุ่น คนแถวนี้ปอดมีปัญหา (ปูนขาวกระจาย) โรงแร่เขาเหล็กมาสร้าง น้ำมีปัญหาอีก ผลคือตอนนั้นโรงงาน 3 แห่ง ถูกปิด 3 เดือน และมีการตั้งคณะกรรมการสอบ โรงงานเดือดร้อน สู้กับชาวบ้าน ครอบครัวผมถูกทุบรถ ทำร้ายร่างกาย และพี่ผมถูกยิงตายปี 38”
ความสูญเสียคนในครอบครัวที่เกิดขึ้นทำให้ คุณลำปาง บุญหนัก ซึ่งเป็นน้องชาย ครูประเวียน บุญหนัก ที่ ณ เวลานั้นเป็นการ์ดอยู่ในกลุ่มเกิดความวิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ผมเกิดที่นี่ พอพี่ตายก็เกิดความระส่ำระสายในกลุ่มชาวบ้าน ก็เลยคิดว่าต้องมาช่วยกันทำต่อ ผมกับหลานอีกคน (เป็นศิลปิน นักเขียน) ก็เลยมาตั้งสมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ เพราะเห็นพี่ที่ทำไว้มาก ตั้งสหกรณ์ไว้ 30 กว่าที่ไม่มีคนดูก็เลยอยากช่วย มาเรียนรู้งาน ประชุมคณะทำงาน โดยฐานก็เป็นเกษตรกร ก็ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาพาชาวบ้านตั้งกลุ่มที่ดินอยู่ในเขตป่า ต่อสู้เรื่องสิทธิ”
ช่วงเวลานั้นคุณลำปางต้องวิ่งดูแลกลุ่มต่าง ๆ ที่ครูประเวียนผลักดันให้จัดตั้งขึ้นทั่วภาคอีสาน ไม่ว่าจะเป็น อุดรฯ หนองบัวลำภู เลย มีกลุ่มสหกรณ์ กลุ่มสตรี ออมทรัพย์ เกือบ 70 กลุ่ม ในช่วงนั้นงานหลักที่ทำคือช่วยคิด บริหาร ขับเคลื่อนกลุ่มอบรม ประสานกลุ่มต่าง ๆ โดยเน้นการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม ที่ดิน ทรัพยาการ กลุ่มองค์กรชาวบ้านเป็นหลัก จนกระทั่งในปี 2553 จึงได้ขอทุนจากโครงการสานศิลป์ฯ เพื่อทำโครงการกับกลุ่มเยาวชน โดยมีน้องที่ทำงานเป็น NGO คือ คุณจีระศักดิ์ ตรีเดช (อยู่ที่ จ.เพชรบูรณ์) มาช่วยหาทุนให้เป็นโครงการแรก แม้จะไม่มีประสบการณ์แต่ก็มีความตั้งใจที่จะผลักดันให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่ รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับบ้านเกิดของตนเอง
สู้ด้วยหัวใจ สร้างคนรุ่นใหม่ที่ไม่ละทิ้งสำนึกรักษ์บ้านเกิด
แนวคิดในการทำงานช่วงแรกเกิดจากการทบทวนแล้วพบว่า ครูประเวียน ผลักดันให้มีการตั้งกลุ่มต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก กลุ่มเหล่านี้ก็มีการหารือกันว่าจะทำสื่อ เพื่อประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตชุมชน หลังจากประชุมกับสหกรณ์ 30 แห่ง ก็ได้ข้อสรุปในการทำสื่อเพื่อใช้เป็นช่องทาง จึงได้จัดตั้ง กลุ่มอนุรักษ์ป่าผาน้อย และมาตั้ง สถานีวิทยุเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น จ.เลย F.M. 95.75 ตั้งปี 2550
“พอตั้งกลุ่มเยาวชนได้ เราก็ทำรายการวิทยุไปด้วยเลย ตอนนั้นเอาคนแก่มาคุยเรื่องสิ่งแวดล้อม คุณพ่อเทศ นามวงศา ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากร พูดเรื่องสิทธิที่ดิน การกดขี่ข่มแหง เหมืองแร่ ผลกระทบต่าง ๆ จากการใช้ทรัพยากร แร่ต่าง ๆ แล้วก็ชวนหลานอีกคนหนึ่งมาช่วย มาฝึกให้จัดรายการวิทยุ ตอนนี้ก็เป็นหลักด้านการจัดรายการ”
“บิ๊ก” หรือ นายศราวุธ บุญเกษ อายุ 22 ปี จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นหลานคุณลำปาง ที่เข้ามาช่วยทำรายการวิทยุตั้งแต่มีการจัดตั้ง กลุ่มเยาวชนรักษ์ป่าภูผาน้อยใหม่ ๆ โดยตอนแรกมาช่วยอำนวยความสะดวกและเป็นฝ่ายเทคนิค ต่อมาคุณลำปางฝึกให้จัดรายการบันเทิง ข่าวจากชุมชนท้องถิ่น ในตอนหลังขวายไปสู่การจัดเพลงและชวนคุยในรายการด้วย โดยนักจัดรายการขณะนี้มี 4 คน คือคุณลำปาง คุณไชโย คุณวสันต์ และน้องบิ๊ก โดยแบ่งกันจัดเสาร์ อาทิตย์ชุดหนึ่ง จันทร์ – ศุกร์ ช่วง 10 โมงถึงเที่ยง อีกชุดหนึ่ง
สำหรับเด็ก ๆ ที่มาร่วมเป็นสมาชิก กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ป่าภูผาน้อย จะเป็นกลุ่มเด็กที่เข้ามามีบทบาทเป็นรุ่น ๆ ตั้งแต่สมัยที่ครูประเวียนต่อสู้รื่องสิทธิชุมชน เด็กบางคนมาร่วมเป็นการ์ด จนกลายเป็นแกนนำ ตอนนี้หลายคนได้รับเชิญไปดูงานหลายพื้นที่ ส่วนรุ่นใหม่ ๆ หรือเยาวชนรุ่นหลังที่เข้าร่วมกิจกรมของโครงการสานศิลป์ฯ เป็นรุ่นที่ยังไม่รู้และไม่เข้าใจผลกระทบจากโรงโม่หินมากนัก เป็นกลุ่มที่เพิ่งเรียนรู้ในเรื่องนี้ผ่านกิจกรรมของโครงการ
“ผมอยากหากิจกรรมทำ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้ามารับรู้ตรงนี้ เพราะถ้าเราเป็นอะไรไปก็อยากให้มีคนทำต่อ ถนนสายนี้มีความขัดแย้งสูง แต่ไม่รู้จะทำไง อย่างไรก็ต้องสู้ ก็คุยกับเพื่อนหลาย ๆ คนชวนมาช่วย ใครช่วยอะไรได้ก็มาช่วยกัน”
ก่อนหน้าที่จะทำโครงการนี้ คุณลำปาง เคยชักชวน กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ป่าภูผาน้อย ทำโครงการร่วมกับพระสงฆ์เพื่อแก้ปัญหาเรื่องเด็กตีกัน
“ตอนนั้นเราเห็นปัญหา คือเด็กวัยรุ่นมันชอบตีกัน ก็คิดว่าทำยังไงให้เด็กไม่ตีกัน ก็เลยไปหารือกับพระ และที่สำนักงานพัฒนาความมั่นคงของจังหวัดเลย เลยได้ไปร่วมทำกิจกรรมกับพระครูสัจจะ วัดป่าผาสวรรค์ กิจกรรมที่ทำมีทั้งให้ความรู้ สร้างจิตสำนึกให้เด็ก บำบัดยาเสพติด เพื่อให้เด็กที่ร้าย ๆ หรือเด็กที่มีปัญหา กลับเข้าสู่สังคมได้ จากจุดนี้เราได้แกนนำของเด็กที่มีใจอยากทำงานเพื่อสังคม เอามาเป็นหัวหน้า แล้วให้ช่วยดูแลน้อง ๆ ต่อ”
กลุ่มเด็กที่ทำงานกับคุณลำปาง จึงมีทั้งกลุ่มเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่เคยทำกิจกรรม และเด็กที่มีประสบการณ์การทำกิจกรรมมาบ้างแล้ว แม้เป้าหมายในการทำงานในตอนแรกต้องการทำงานกับเด็กกำพร้า หรือกลุ่มเด็กที่มีปัญหาเพื่อต้องการปรับพฤติกรรม และอยากให้เด็กมีกิจกรรมที่สร้างสรรค์ แต่เมื่อลงมือทำจริงพบว่า เด็กที่สนใจมีความหลากหลาย จึงเปิดโอกาสให้ทุกคนที่สนใจได้เข้าร่วมโครงการ
กิจกรรมของโครงการมีความหลากหลายมาก แต่มุ่งสร้างประสบการณ์ให้กับเด็กให้มากที่สุด เพื่อที่จะทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชุมชน


“เราทำกิจกรรมหลายอย่าง เริ่มต้นก็คือการพาเด็กลงไปดูพื้นที่ ลงไปเป็นป่า เห็นแม่น้ำ เห็นโรงโม่หิน เห็นการระเบิดหิน ให้เขารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเขา ชุมชนของเขา แล้วเขาคิดอย่างไร อยากทำอะไรเพื่อบ้านเกิดบ้าง เราให้เด็กไปเดินป่า ดูป่า แล้ววาดรูปออกมา เพื่อให้เขาเกิดความประทับใจในสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติรอบตัว”
การลงพื้นที่จึงเป็นกิจกรรมที่สมาชิกทุกคนไปกันหมด เน้นบริเวณต้นน้ำผาน้อย พาเด็กไปดู (เช้าไปเย็นกลับ) ให้เข้าพื้นที่ ดูสภาพปัญหาของชุมชน และพูดคุยให้เข้าใจสถานการณ์ กิจกรรมสำรวจพื้นที่ป่าผาน้อย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการกระตุ้นความสนใจในสิ่งแวดล้อมให้กับเด็ก ๆ บางคนที่มีศักภาพมากกว่าแค่วาดรูป หรือมีโอกาสฝึกฝนด้านการจัดรายการวิทยุ ก็เข้ามาร่วมจัดรายการวิทยุด้วยในช่วงสั้น ๆ เช่น บิ๊ก นอกจากนี้ยังจัดอบรมทำ Spot วิทยุ เพื่อใช้ออกอากาศในรายการวิทยุด้วย
“นอกจากพาไปดูให้เห็นกับตาแล้ว เรายังมีการประชุมกับท้องถิ่น ชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น แกนนำ เพื่อให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ ให้เขารับรู้ว่าเราทำอะไร ทำไมต้องทำ ก็มีการคุยกัน ก่อนลงพื้นที่ เพื่อเตรียมทีม หาคนที่จะไป เตรียมอุปกรณ์ เก็บภาพ วาดภาพ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ชาวบ้านในชุมชนก็รู้ข้อมูลอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็สนับสนุนกิจกรรมของเราเต็มที่”
แม้ชุมชนจะมีความเข้าใจและสนับสนุนกิจกรรมของเยาวชนอย่างเต็มที่ แต่คุณลำปางเองยังต้องการขยายการทำงานออกไปให้มากขึ้น เพื่อสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ใจจริงอยากลง field แล้วมาคุยเรื่อง script หัดทำเรื่องนี้ให้จริงจัง เอาเด็กมาเข้าค่ายเลย สัก 30 คน ตอนนี้เรามองหาแกนนำที่จะทำต่อ ก็พบว่าพอมีแล้ว 4-5 คน ที่เขาสนใจจะทำต่อ แต่เราก็มีอย่างอื่น ต้องทำด้วย ต้องมีทีมงาน ก็ค่อย ๆ ทำไป แต่จะเกาะสถานการณ์เรื่องนี้ไปตลอด น่าจะสร้างเด็กที่ทำเรื่องนี้ต่อไปอย่างต่อเนื่องได้”
ความรู้สึกเด็กและเยาวชนที่ได้เข้าร่วมโครงการ
เด็กที่เข้าร่วมกิจกรรมมีความรู้สึกที่หลายหลาย ส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าตนเองได้รับความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของป่า สิ่งแวดล้อม และโรงโม่หิน หรือเหมืองแร่ ที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิต อีกส่วนหนึ่งรู้สึกอยากหาความรู้มากขึ้น บางคนต้องการจัดรายการวิทยุเพราะอยากบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองรู้ให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้บ้าง
“หนูได้อบรมวิธีจัดรายการวิทยุ ได้ไปที่วัด ลงพื้นที่ วาดภาพ ชอบมาก ได้เห็นธรรมชาติ ไม่เคยไปที่ตรงนั้นเลย ไปครั้งแรก เห็นป่า สวย อยากให้มันสวยอย่างนั้นตลอดไป ไม่อยากให้โรงโม่หินมาทำลายป่า” – รัชดาพร บุญหนัก (ปาล์ม) ม.2
“ไม่เคยไปป่ามาก่อน พอไปแล้วรู้สึกว่าได้เห็นธรรมชาติที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยรู้เรื่องเหมืองแร่มาก่อน ก็ได้รู้ว่ามีคนมาขุดแร่ไปขาย มีแม่น้ำ มีสัตว์ป่า ที่ถูกทำลายเพราะการทำเหมืองแร่ ตอนนั้นตัดสินในไปเพราะ พี่บิ๊กชวน อธิบายเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็เลยอยากไป ฟังรายการวิทยุ ก็ได้ความรู้มากขึ้น เกี่ยวกับธรรมชาติ” รุ่งนภา มุกผาสุข (ตุ้ย) ม. 2
“เขาพาไปอบรมที่ป่าผาน้อย และอบรมที่นี่ด้วย เรื่องการจัดรายการวิทยุ ลุงของแตมาร่วมต่อสู้กับลุงลำปางด้วย เขาก็เลยให้มาร่วมกิจกรรม พอไปเห็นจริง ๆ ก็กลัวเหมือนกัน เพราะไม่เคยรู้ว่ามีระเบิดหินผา ตอนนี้ยังไม่กล้าจัดรายการวิทยุ อาย แต่ถ้ามีอบรมก็จะลองฝึกดู” – ประไพวัลย์ พลซา (แต) ม.2
“หนูชอบแม่น้ำ เห็นธรรมชาติ ถ้าเขาชวนไปอีกก็ไป ช่วงที่ไปเป็นปิดเทอมพอดี ได้มีกิจกรรมดี ๆ ทำ ดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ” – ชนิกา แสนมุ่งค้อ (ดาว) ม.2
“ได้เห็นธรรมชาติ การทำเหมืองแร่ รู้ว่ามีการขุดแร่ ซึ่งมันมีผลกระทบต่อเราและสังคม ถ้าไม่ได้มาร่วมโครงการนี้หนูก็คงไม่รู้ เพราะไม่เคยเข้าป่า ไม่เคยมีใครบอก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในบ้านของเรา” – ศศิประภา พิมภา (อิง) ม.2
แม้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะมีส่วนที่แตกต่างหลากหลายไปตามความชอบของแต่ละคนอยู่บ้าง แต่โดยภาพรวม โครงการนี้ก็ทำให้เยาวชนในพื้นที่หันมาให้ความสนใจกับ “ป่าผาน้อย” อันเป็นบ้านของพวกเขา ที่กำลังถูกรุกรานทำลายโดยคนอื่น จิตสำนึกและความหวงแหนที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่เกิดขึ้นจากการรับรู้ การได้เห็นจริงจากประสบการณ์ ซึ่งน่าจะมีผลทำให้พวกเขามีแรงใจ และกำลังที่จะทำงานต่อ ในสิ่งที่คุณลำปาง หรือครูประเวียนได้เริ่มต้นไว้
โครงการนี้จึงเป็นเสมือนการเพาะต้นกล้าแห่งนักต่อสู้ตัวน้อยขึ้นที่ป่าผาน้อย ที่วันหนึ่งจะกลายเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ แบบที่คนรุ่นเก่าได้ทำไว้เป็นตัวอย่าง
รายงานการถอดบทเรียนและประเมินผลโครงการสานศิลป์รักถิ่นเกิด
โดย ผศ.ปรารถนา จันทรุพันธุ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะ, กรกฎาคม 2554
*โครงการสานศิลป์รักถิ่นเกิด ดำเนินการเมื่อเดือนมิถุนายน 2553 – สิงหาคม 2554 มูลนิธิกองไทย เป็นเจ้าของโครงการ ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีเป้าหมายให้เยาวชน “รู้ และ รัก” ท้องถิ่นบ้านเกิด ด้วยการสืบค้นหาข้อดีของชุมชนท้องถิ่น จนทำให้เกิดความภาคภูมิใจและนำเสนอผ่านงานศิลปะวัฒนธรรม โดยสนับสนุนทุนให้กับ 58 กลุ่มเยาวชนจากทั่วประเทศ – คลิกดูรายละเอียดโครงการ