
เคยตั้งคำถามถามตัวเองกันบ้างไหมว่า “สังคมในอุดมคติเป็นสังคมแบบไหน?” เป็นสังคมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำยุค เป็นสังคมที่มีแต่ความแก่งแย่งชิงดี เป็นสังคมที่ในน้ำมีปลาในนามีข้าว หรือเป็นสังคมที่อยู่อย่างพอเพียง
ถามง่าย แต่ตอบยากชะมัด..
แต่…สำหรับคนรุ่นใหม่กว่า 30 ชีวิต ที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่มรองเท้าแตะ” ถามและให้คำตอบที่ชัดแจ้งว่าพวกเขาอยากได้สังคมที่มีแต่ “ความเท่าเทียม” ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขามิได้เพียงแค่รับรู้ “ฝัน” แต่ลงมือ “สร้างฝัน” ด้วยมือของเขาด้วย
รองเท้าแตะเป็นการรวมกลุ่มกันของนักศึกษามหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือเอแบค เยาวชน “ผู้มีอันจะกิน” หรือถ้าจะเรียกให้ง่ายตามประสาภาษาชาวบ้านก็คือ “ลูกคุณหนู” เพราะสมาชิกแต่ละคนได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานของเจ้าของกิจการใหญ่โต ลูกนักธุรกิจ ลูกข้าราชการระดับผู้ใหญ่ ซึ่งพวกเขาขอลบคำปรามาสว่ากลุ่ม “เด็กรวย” เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ สลัดรองเท้ากุชชี่ กระเป๋าหลุยส์ มาจับค้อน ตอกตะปู นั่งคลุกดินรับฟังความทุกข์ของชาวบ้าน
อรรณพ นิพิทเมธาวี ในฐานะแกนนำกลุ่มรองเท้าแตะ ท้าวความถึงที่มาที่ไปของกลุ่มว่า หลังจากที่มหาวิทยาลัยประกาศยุบชมรมค่ายอาสาพัฒนาของมหาวิทยาลัย เนื่องจากมีจำนวนสมาชิกไม่ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด ทุกคนจึงประชุมและพบว่าแต่ละคนยังคงมุ่งมั่นในอุดมการณ์ที่อยากจะสร้างสรรค์สังคมที่เท่าเทียมกัน จึงตัดสินใจรวมตัวกันทำกิจกรรมนอกสถาบัน และเปิดโอกาสให้นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมด้วย
วิธีการทำงานของ “รองเท้าแตะ” ไม่เพียงแต่ไปสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก หรือ โรงเรียน ห้องสมุด ให้กับชาวบ้านเท่านั้น แต่พวกเขาต้องการให้นักศึกษาเข้าใจถึงปัญหาของพื้นที่อย่างแท้จริง เมื่อ “จุดยืน” เป็นเช่นนี้ รองเท้าแตะจึงย่างก้าวเข้าไปในหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ตั้งใจฟังเสียงร่ำไห้ของคนที่ “ไม่มีพื้นที่” บ่อยครั้งหนุ่มสาวเหล่านี้ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวดไปพร้อม ๆ กับชาวบ้าน
“จากการออกค่าย เราพบปัญหาหลายอย่าง เช่น ค่ายแรกไปที่หมู่บ้านไร้สัญชาติ จ.แม่ฮ่องสอน ชาวบ้านที่นี่ไม่มีใครมีสัญชาติไทยเลย เราจึงอาสาเข้าไปทำประวัติ ถ่ายรูป แล้วส่งข้อมูลไปให้ราชการดำเนินการต่อ นอกจากนี้ยังสร้างอาคารเรียนให้อีก 1 หลัง ส่วนอีกค่ายที่เกาะนาคา จ.ภูเก็ต เราได้รับรู้ว่าชาวบ้านกำลังเผชิญกับปัญหาถูกกลุ่มนักการเมือง นายทุนรุกล้ำแหล่งทำกิน ทำลายวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน นักศึกษาที่มาหลายคน โดยเฉพาะพวกคุณหนูพอฟังชาวบ้านเล่าถึงความทุกข์ยาก บางคนน้ำตาซึม บางคนโกรธแค้นแทนความอยุติธรรมที่ชาวบ้านได้รับ”
รับรู้ทั้งปัญหาและความรู้สึก แต่ความช่วยเหลือก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความสามารถของนักศึกษา
แกนนำกลุ่มรองเท้าแตะยอมรับว่า ด้วยกำลังความสามารถของนักศึกษาอาจไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างเต็มที่ เพราะบางครั้งปัญหาต้องข้องเกี่ยวกับกฎหมาย หน่วยงานราชการ หรือแม้แต่ผู้มีอิทธิพล ซึ่งสิ่งที่ทำได้คือ ประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง หรือนำข้อปัญหาไปบอกต่อกับคนอื่น เพียงเท่านี้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมาย คือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติจากคนที่คิดถึงแต่ตัวเอง หันมาเห็นคุณค่าของคนอื่นมากขึ้น
“เรื่องช่วยชาวบ้าน ผมมองว่าเป็นผลทางอ้อมนะ แต่ทางตรงคือ เยาวชนมีจิตสำนึกดี ๆ กลับไป ยิ่งกลุ่มนักศึกษา ลูกคุณหนูทั้งหลายที่เป็นลูกพ่อค้า นักธุรกิจ หลายคนหลังจากกลับจากการออกค่ายเปลี่ยนพฤติกรรมไปเลย มีคนหนึ่งเลิกยาบ้าได้เพราะการออกค่าย ส่วนอีกหลายคนผันตัวเองไปเป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อสังคม อย่างตอนเกิดสึนามิก็อาสาไปช่วยชาวบ้านที่พังงา บางคนอาสาไปเป็นครูบนดอย และอีกหลายคนจากไม่เคยสนใจข่าวสารบ้านเมือง หลังจากกลับจากค่ายก็เริ่มสนใจ เพราะรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิต ส่วนคนที่เรียนจบไปแล้วหลายคนแล้วกลับไปสืบทอดกิจการของพ่อแม่ บางก็ไปทำงานบริษัท บ้างไปเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่เอาแต่กำไรอย่างเดียว และบางคนเลือดเข้มข้นชนิดที่ผันตัวเองไปทำงานเป็นเอ็นจีโอเต็มตัวก็มี”
ด้าน “แนน” นางสาวภคมน ตัณฑวนันท์ วัย 22 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะบริหารธุรกิจ ม.เอแบค คุณหนูลูกเจ้าของโรงงานลำไย ที่ จ.เชียงใหม่ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยลำบาก ฉายาเจ้าแม่แบรนด์เนมตัวจริง เพราะกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า ราคาต่ำกว่า 1,000 บาท เธอใช้ไม่เป็น แต่เมื่อได้ร่วมออกค่ายอาสากับกลุ่มรองเท้าแตะ เมื่อครั้งเป็นเฟรชชี่ สาวน้อยคนนี้กลายเป็น “คุณหนูเพื่อชีวิต” เลิกใช้ของแบรนด์เนม ชอบการออกค่าย และรักการเป็นผู้ให้ บอกว่าหลังจากออกค่ายทัศนคติเปลี่ยนไป เมื่อก่อนเป็นคนใช้เงินเปลืองมาก แต่พอได้ไปเห็นความลำบากของชาวบ้าน เปลี่ยนเป็นคนประหยัด เลิกฟุ่มเฟือย
“ตอนออกค่าย แนนเห็นเด็กคนนึงใส่เสื้อขาด นึกแล้วสะท้อนใจว่าถ้าเป็นเราเสื้อขาดแบบนี้ก็ทำเป็นผ้าขี้ริ้วแล้ว แต่เด็กคนนี้ยังใส่อยู่ ตรงนี้แหละทำให้คิดได้ว่า จริง ๆ แล้วเราใส่อะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นของแบรนด์แนม เพราะความหมายของเสื้อผ้าก็คือเครื่องห่อหุ้มร่างกาย ชีวิตชาวบ้านในชนบทสอนให้ละอัตตาลงได้เยอะ และสอนให้รู้ว่าการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน มีความสุขมาก ๆ”
ไม่ว่าจะเกิดมาในฐานะอะไร แต่การช่วยกันพัฒนาสังคมเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ
นสพ. มิติชน รายวัน – หน้า 36
วันที่ 9 พฤศจิกายน 2549