ด้วยความที่เคยคลุกคลีตีสนิทกับน้อง ๆ “ชมรมคนสร้างฝัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม” ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทั้งจากการออกค่ายอาสาพัฒนาและการทำกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ในความรู้สึกจึงเต็มไปด้วยความรักและความผูกพัน อีกทั้งความชื่นชมในความสามารถ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน

พอได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ถ่ายทอดบทเพลงที่มีชื่อเดียวกันกับชมรมนี้ ตามโครงการเพลงค่ายฯ ความรู้สึกดีๆ ที่เปี่ยมล้นอยู่ในหัวใจเป็นทุนเดิมก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ ฉันจะได้เป็นผู้ถ่ายทอดตัวตนของพวกเขา….. ผ่านบทเพลงคนสร้างฝัน

เพลงคนสร้างฝันกับคนสร้างฝันในมุมมองที่ฉันรู้จัก…

“ฝันที่อยู่ไกลกับความหมายที่ยังก้าวเดิน กับคำถามที่เผชิญว่าเราจะเดินไปเพื่อใคร”

ท่อนนี้ทำให้นึกถึงภาพคนสร้างฝันเมื่อครั้งอยู่ในค่ายหินทุ่ม นึกถึงใบหน้าชุ่มเหงื่อ ร่างกายกรำแดด พร้อมก้อนหินขนาดเขื่องวางอยู่บนบ่าของแต่ละคน ซึ่งต่างก็ไม่รู้ว่าระหว่างน้ำหนักของผู้แบกกับหินก้อนที่อยู่บนบ่า อย่างไหนหนักกว่ากันแน่ แม้ต่างคนต่างมโนภาพไม่ออกเพราะไม่เคยเห็นฝายชนิดนี้มาก่อน กระนั้นก็ยังพากันเดินหาหินแบกมากองรวมๆ กัน รอเวลาที่จะทุ่มมันให้เป็นฝาย 

“ชีวิตหากมีหวังแม้สิ้นกำลังก็ยังจะก้าวไป …”

ท่อนนี้ทำให้นึกถึงภาพวงคุยเล็ก ๆ ของเด็กกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยแสงสว่างจากดวงไฟริมทางเดิน และสนามหญ้าข้างหอพักต่างห้องประชุม นั่งฟังเสียงตบยุงแข่งกับเสียงคนพูด ข่าวคราวของนักศึกษาที่รวมกลุ่มโบกรถไปออกค่ายฯ (เพราะขาดแคลนงบค่าเดินทาง) นักศึกษาหนีเรียนช่วยไปชาวบ้านเกี่ยวข้าว

เหล่านี้ล้วนทำให้พวกเขาดูแปลกแยกจากนักศึกษาในปัจจุบันยิ่งนัก แต่มันคือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครมองเห็น แต่พวกเขาก็ยังจะมุ่งมั่นเดินไปตามอุดมการณ์ที่วางไว้ 

ในขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหล และเฝ้าฝันถึงวันที่สวยงาม… แต่คนกลุ่มนี้เลือกที่จะตื่นขึ้นมา แล้วทำความฝันให้เป็นจริง มากกว่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าความฝันจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องตื่นจากความฝันนั้นก่อน

นี่คือที่มาของชื่อ “คนสร้างฝัน”

“แม้สายฝนจะซัดกระหน่ำก็ไม่ทำให้ใจเราหวั่นไหว”

ท่อนนี้ทำให้นึกถึงใบหน้าของคนสร้างฝันกับฝายที่จะพังมิพังแหล่ตอนถูกกระแสน้ำพัดพา ภาพที่พอวางหินลงปุ๊บกระแสน้ำก็ซัดมันไปปั๊บ ปลิวไปต่อหน้าต่อตา แสงแดดที่ดุร้าย กับหินกองมหึมา ชวนให้ท้อแท้ใจยิ่งนัก เหมือนคนบนฟ้ากำลังทดสอบอะไรบางอย่าง และกำลังหัวเราะกับการกระทำอย่างบ้าคลั่งของคนเล็ก ๆ กลุ่มนี้ แม้ต่างคนต่างเหน็ดเหนื่อยแต่ยังคงยืนฝืนยิ้มให้กันและกัน สุดท้ายคนบนนั้นก็ใจอ่อนกับความเพียรพยายามของพวกเราให้ฝ่าฝันกันไปได้ เป็นฝายที่แข็งแรง คอยทัดทานกระแสน้ำอย่างสง่างาม ทุกครั้งที่ออกมายืนมองฝายก็เหมือนได้ออกมายืนยิ้มกับภาพที่น้องๆ กำลังเล่นน้ำอยู่เสมอ

“ให้เรารวมใจกันไปสร้างฝัน”

ท่อนนี้ทำให้นึกถึง “คนสร้างฝัน” ชื่อกลุ่มที่แสนธรรมดาไม่มีความโดดเด่นอะไร เพราะใคร ๆ ต่างก็มีฝัน แต่สิ่งที่ทำให้ฝันพวกเขาต่างออกไปนั้นก็คือ “พวกเขามักจะฝันเกี่ยวกับคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสังคมและโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา แววตาที่มุ่งมั่นนั้นคอยเสาะแสวงหาความจริง ความเสมอภาคระหว่างชนชั้นทางสังคมและโลกใบนี้”

เชื่อว่า… ตราบใดที่ยังมีคนสร้างฝันโลกใบนี้จะงดงามอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เราควรตระหนักคือ หากใครสักคนหนึ่ง หรือทุกคนบนโลกจะหยุดใฝ่ฝันถึงสังคมที่สวยงาม แล้วโลกใบนี้จะเป็นอย่างไรต่างหาก 

ห้วงอารมณ์แห่งความสับสนมักมาเยือนในยามที่ผู้คนอ่อนแอและหลับใหล ดังนั้นเมื่อยามที่ได้ยินข่าวคราวว่าน้องๆ ของตนเองกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์นั้น นับว่าเป็นข่าวทั่เลวร้ายที่สุดที่ไม่อยากรับฟัง “แต่คนเรามักจะฉลาดขึ้น เมื่ออะไร ๆ ผ่านพ้นไป” อะไรที่ผ่านไปแล้วย่อมผ่านเลย แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยนั้นย่อมไม่สูญเปล่า ในยามที่ท้อแท้ขอจงปลุกตัวเองให้ตื่น หันหน้าเข้าหากัน และร้องเพลงคลอปลอบประโลมกันเบา ๆ ว่า 

“เพื่อน ๆ เอ๋ยไม่ว่าจะอย่างไร ให้เรารวมใจกันเพื่อไปเป็น คนสร้างฝัน”

…แด่มนุษย์ผู้เดินตามฝัน 

ธิดามนต์ พิมพาชัย
ครูเหมี่ยวของพวกเอ็ง, 29 สิงหาคม 2550

ป.ล. ความจริงตอนที่ร้องท่อนนี้ “ให้เรารวมใจกันไปสร้างฝัน” นึกถึงหน้า พี่นก ก่อนเลย ทำไมต้องเป็นเราร้อง (ว่ะ) และนึกถึงหน้าพวกเอ็งทุกคน โดยเฉพาะคนแต่ง เพราะร้องยังไงก็เสียงไม่ถึงอยู่ดี 

*ขอบคุณ 
– คนสร้างฝันทุกคนบนโลกใบนี้
– พี่นก ที่ให้โอกาสในการถ่ายทอดเพลงนี้
– บ้านโฮป แฟมิลี่ พี่สุเทพ พี่แดง โปรดิวส์เซอร์ผู้ใจดี กับกาแฟแก้วอุ่น ๆ 
– โซ่/ศร ผู้ทำให้ซาบซึ้งว่า อ๋อ! การร้องเพลงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ..อาจารย์! โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วย
– และพี่ไนล์ที่นำพาคนสร้างฝันมาให้รู้จัก…

สั่งซื้อ….อัลบั้มเพลงค่ายฯ