“จงเป็นเพียงน้ำครึ่งแก้วอยู่เสมอ” ประโยคนี้เรา (เราหมายถึงผู้เขียน) รู้จักมานาน แต่เราเข้าใจความหมายจริงจัง โดยผ่านนายญี่ปุ่นผู้หนึ่งเมื่อประมาณห้าหกปีก่อน นั่นหมายถึงการเป็นผู้ที่รู้และพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ แม้ไม่รู้ก็พร้อมที่จะเปิดรับเพื่อเริ่มใหม่ เช่นเดียวกันแม้ไม่มีประสบการณ์ก็สามารถเรียนรู้ได้เพียงมีความพยายามและตั้งใจจริง

ทุกวันนี้และต่อไปเรายังเป็นเพียงน้ำครึ่งแก้วเสมอ เราไม่ใช่คนเก่งเราไม่ใช่คนรอบรู้ เราเป็นเพียงเด็กที่ก้าวเข้าไปเพื่อเรียนรู้เพื่อหาประสบการณ์ใหม่ แต่แม้เราจะก้าวเข้าไปเรียนรู้ หลาย ๆ เรื่องเราไม่อาจที่จะเปิดรับได้เสมอไป อาจจะบอกได้ว่าโลกบางมุมของเราเองกรีดและกันสิ่งที่เราไม่เปิดรับออกไป อุปสรรคกำแพงสูงสำหรับเราคือการก้าวพ้นตัวเราเอง และก้าวผ่านเส้นที่มองไม่เห็น และในสักวันหนึ่งคงก้าวผ่านพ้นอีกไม่นานจริงไหม

รอบรั้ว มมส. เรารู้จักผู้คนหลากหลาย เรียนดีกิจกรรมเก่ง เรียนเก่งห่างกิจกรรม เรียน ๆ แต่ไม่ได้สนใจกิจกรรม ฯลฯ เราเองเป็นหนึ่งในเรียน กิจกรรมไม่เก่งแต่อยากก้าวเข้าไปเรียนรู้ บนเส้นทางที่เราเลือกและตัดสินใจเอง อาจจะชอบแม้จะไม่เหมาะ กรรมการหอสังกัดกองกิจการนิสิต นิสิตช่วยงานสังกัดสำนักศึกษาทั่วไป นิสิตช่วยคนพิการส่วนนี้ทำให้ได้รู้จัก พี่กิ๊ฟ – ศิริกาล โหลนอก (ด้วยภาคและภูมิใจที่สุด) นิสิตช่วยงานวิทยบริการ เป็นต้น

ต่างเป็นประสบการณ์ที่เราเลือกก้าวเข้าไปเรียนรู้และเติมเต็ม เช่นเดียวกันชมรมค่ายอาสา เป็นอีกหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่อยากเข้าไปสัมผัส แต่การไปค่ายของเราอาจมีวัตถุประสงค์ที่เห็นแก่ตัวกว่าคนอื่น ๆ ค่ายของเราคือ การเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยสัมผัส คือการเดินทางออกจากที่เดิม ๆ คือการตอบสนองความอยากส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งต่างจากคนอื่นอย่างมากเพราะหลาย ๆ คนไปเพื่อให้ ทำเพื่อคนอื่น เพื่อสังคม

หลายคนบอกว่าเราไม่เหมาะกับการออกค่าย เราเยอะเกินกว่าจะไปอยู่ในค่าย จะว่าไปเราก็พอจะรู้ตัวว่าเราไม่เหมาะกับการไปค่าย เราเรื่องเยอะ ไม่เปิดรับมองแต่ในมุมของตัวเอง แต่สำหรับค่ายเป็นสิ่งหนึ่งที่เราอยากก้าวเข้าไปเรียนรู้ และอาจเป็นหนทางหนึ่งสำหรับก้าวข้ามอะไรบางอย่างก็ได้ เพียงขอเวลาและโอกาสแค่นั้น

หรือเราเพียงมือสมัครเล่นอย่าเทียบกับมืออาชีพชาวค่าย?

แต่จะว่าไปน้อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ไปค่าย เนื่องจากเวลาและงานที่ต้องรับผิดชอบ ค่ายที่ฉันรู้จักส่วนใหญ่จึงอยู่ในหน้าหนังสือที่ฉันไม่ต้องซื้อก็ได้ครอบครอง หรือการบอกเล่าจากคนรู้จัก

สำหรับ ค่ายเยาวชนอาสา…เยียวยาใจหลังภัยพิบัติ ครั้งที่ 1 ภายใต้ชื่อ “อาสาเพื่อสร้างสรรค์ ปลูกฝันเพื่อป้องภัย” ที่จังหวัดสงขลา เรามาค่ายนี้ในนามของผู้ติดตามโครงการ เนื่องจากได้เข้ามาฝึกงานที่มูลนิธิกองทุนไทย สิ่งที่ได้จากค่ายนี้คือ

  1. การเรียนรู้ว่าบนความหลากหลาย บนความแตกต่าง คนทุกคนย่อมปรับตัวและสามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อรู้ที่จะเปิดรับแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะคนทุกคนไม่ได้มีแค่มุมและโลกของตัวเองเสมอไป เราทุกคนต่างรู้ที่จะปรับรับหรือย่อมรับความต่างบนความหลากหลายกันเป็นทุกคน เราเองก็เป็นเช่นเดียวกับทุก ๆ คน บางทีเราไม่ได้คิดเหมือนนาย เช่นเดียวกันหนทางที่เราเดินหรือแม้กระทั่งการแสดงออกก็ไม่เหมือน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เป้าหมายไม่เหมือนแต่ก็มิได้หมายถึงแตกต่างโดยสิ้นเชิง
  2. การเรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ น้อยครั้งที่เราจะมีโอกาสเดินทางไปต่างภาค และแน่นอนว่าแต่ละที่แต่ละถิ่นย่อมแตกต่างกันออกไป ย่อมจริงและใช่เสมอกับการเปิดเพื่อนเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

การเรียนรู้สังคมค่ายมากขึ้น อย่างที่บอกน้อยครั้งที่เราจะมีโอกาสไปค่าย น้อยครั้งที่จะได้สัมผัสด้วยตนเอง ค่ายครั้งนี้สอนอะไรหลายอย่างการอยู่ร่วมกัน การแลกเปลี่ยน ความหลากหลาย ความเข้าใจกันและกัน แต่ใช่ว่าเราจะรู้ได้ทุกอย่างและง่ายดาย การเรียนรู้ยังอีกยาวไกลกว่าจะเข้าใจลึกซึ้ง และอีกหลาย ๆ อย่างที่ได้จากค่ายครั้งนี้

ในโลกนี้หลายคนเชื่อหลายคนไม่เชื่อในสิ่งเร้นลับ เราเองไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบลู่ ขอบคุณหลาย ๆ สิ่งอย่างบนโลกใบนี้ที่ให้ เราและนาย…ด้มาเจอรู้จักและเรียนรู้กัน ขอบคุณโอกาสที่หลาย ๆ คนมอบให้ ขอบคุณคำสอนตักเตือนบอกเล่า ขอบคุณความช่วยเหลือที่มีให้กับเด็กน้อยคนนี้ จะเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นไว้เพื่อเป็นความรู้ เป็นแนวทาง และนำไปพัฒนาตนเอง สักวันข้างหน้าเมื่อเส้นบางอย่างหายไป หรือเราก้าวพ้นตัวเราเอง แล้วเราจะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับเช่นกัน เพียงขอเวลาและโอกาส

และสุดท้ายบนเส้นทาง “น้ำครึ่งแก้ว” จะไม่มีวันสิ้นสุด เรายังเชื่อและศรัทธาเสมอ…

ขอขอบคุณทุก ๆ ผู้ให้บนเส้นทางแสวงหา

จันอรรครา
10 พฤษภาคม 2555