
“เพื่อลบรอยคราบน้ำตาประชาราษฎร์ สักพันชาติจักสู้ม้วยด้วยหฤหรรษ์
แม้นชีพใหม่มีเหมือนหวังอีกครั้งครัน จักน้อมพลีชีพนั้นเพื่อมวลชน”
บทกวีนี้ในช่วงปี พ.ศ. 2516-2519 มักจะได้ยินเสียงโฆษกหนุ่มนักศึกษาผิวขาวผมยาวกล่าว ก่อนที่สมาชิกในวงจะเริ่มบรรเลง ท่วงทำนองของเพลง เพื่อมวลชน ซึ่งขึ้นต้นเนื้อเพลงว่า :
“ถ้าหากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน
ติดปีกบินไปให้ไกลไกลแสนไกล
จะขอเป็นนกพิราบขาว
เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี”
อันถือว่าเป็นเพลงที่แรก จิ้น กรรมาชน และ นพพร ยศถา ได้ร่วมกันประพันธ์ขึ้น อันเป็นเพลงที่กล่าวได้ว่าตรงกับความรู้สึกมากที่สุดของพวกเราในขณะนั้น
กรรมาชน เป็นวงดนตรีเพื่อชีวิตที่ก่อเกิดจากนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2516 มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นักศึกษาประชาชนลุกขึ้นมาร่วมกันขับไล่เผด็จการทหารได้สำเร็จ อันเป็นประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 ที่ยิ่งใหญ่
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ได้ก่อให้เกิดผลสะเทือนในหมู่นักศึกษาและประชาชนมากมาย ช่วงนั้นผมและเพื่อนๆ ยังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 เรียก ม.1 (เป็นนักศึกษาปี 1 ที่เรียนรวมกัน ยังไม่แยกคณะชัดเจน ทั้งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัช และวิทยาศาสตร์) โดยจะไปแยกคณะอีกทีตามคะแนนสอบรวมในปี 2
ในช่วงนั้นมีวงดนตรีเพื่อชีวิตต่างมหาวิทยาลัยได้ก่อเกิดขึ้นมาก่อนหน้าแล้ว ที่จำได้ก็มีวง คาราวาน และ ไดอะเลคตริก พวกเราเป็นกลุ่มเพื่อนๆ ที่มักจะแวะเวียนไปฝึกซ้อมดนตรีที่ชมรมดนตรีของมหาวิทยาลัยอยู่ก่อนแล้ว โดยบางกลุ่มเล่นเพลงสตริง แต่ผมถนัดเล่นเพลงลูกทุ่ง
มีครั้งหนึ่งจำได้ว่าเป็นงานรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัย ซึ่งจัดขึ้นใต้ตึกฟิสิกส์ข้างสระน้ำ (อยู่ติดกับโรงพยาบาลรามา) คุณจิ้น (กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ) ได้มาเตี้ยมกันก่อนขึ้นเวทีว่าจะเล่นเพลง คนกับควาย และเพลง เปิบข้าว สองเพลงเพื่อให้เพื่อนๆ นักศึกษาได้ฟัง จากความมีทักษะทางดนตรีของจิ้น (ชื่อนี้ได้มาจากการที่เขาเคยเป็นมือแซกโซโฟนของ วงดิ อิมเมจิ้น ซึ่งเป็นวงสตริงชื่อดังวงหนึ่งในขณะนั้น) ทำให้การผสมผสานเสียงดนตรี เป็นไปอย่างเร่าร้อนโดยใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าเล่นในแนวอาร์ดร็อก จึงสามารถตรึงอารมน์นักศึกษาทุกคนได้เป็นอย่างมาก ประกอบกับเนื้อหาของเพลงที่กระแทกแดกดันชวนให้คิด และในยุคนั้นงานรับน้องหรืองานทั่วๆ ไปของมหาวิทยาลัยมหิดลส่วนใหญ่จะเป็นวงดนตรี ประเภทลีลาสรำวงเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าการแสดงในครั้งนั้นจะสะกดและตรึงตรานักศึกษาแทบทุกคน และส่งผลให้เกิดการรวมตัวขึ้นเป็นวงอย่างจริงจังในชื่อ “กรรมาชน” ในเวลาต่อมา
นักดนตรีและนักร้องตลอดจนผู้ร่วมกิจกรรมของวงกรรมาชนในช่วงแรก ได้แก่
- จิ้น (กุลศักดิ์ เรืองคงเกียรติ) หัวหน้าวงและมือคีย์บอร์ดผู้มีความเร่าร้อนรุนแรงจนบางทีเพื่อนๆ ตามอารมณ์ไม่ทัน
- นพ (นพพร ยศถา) บุรุษนิ่งเงียบที่มีความคิดที่ล้ำลึก ผู้ซึ่งเป็นผู้ชี้นำด้านความคิดทางการเมืองและเขียนบทกวี และแต่งเพลง แต่ตนเองร้องเพลงไม่เป็น ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วที่เขตชายแดนกัมพูชา
- บัติ (สมบัติ ศรีสุขอัยกา) มือกลองผู้มีกำลังวังชาชาวเป็นชาวอยุธยาแต่มักจะมีแนวคิดแปลกๆ
- เริญ (จำเริญ วัฒนศรีสิน) มือเบสยามยาก บุรุษซึ่งใจเย็นเป็นน้ำแข็งแต่ลุ่มลึกในปรัชญา
- อี๊ด (พงษ์สันต์ ทองเนียม) มือเบสแพทย์ทหารที่มีรอยยิ้มพิฆาตใจสาว
- บื๋อ (บุญลือ วงศ์ท้าว) แพทย์ทหารอีกคนเป็นได้ทั้งโฆษกและนักร้องที่เพื่อนๆ รัก
- เตี้ย (วิโรจน์ สิงห์อุตสาหะ) มือเบสและกลองยามยากอีกคนผู้รักความเป็นธรรม
- อ๊อด (พิชัย สุธาประดิษฐ์) โฆษกผิวขาวผมยาวประบ่าชาวใต้ที่มีบทกวีมาฝากให้แฟนเพลง
- หมู (พลศิลป์ ศิวีระมงคล) มือกีตาร์คอร์ดผู้ซึ่งมีความละเอียดเป็นเลิศ
- ปู่ (ปรีดา จินดานนท์) จิ๊กโก๋กางเกงขาบานหลุดก้นผู้เป็นผู้ดูแลควบคุมระบบเสียงให้น่าฟังซึ่งเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว
- นิด (อมร จำนามสกุลไม่ได้) สาวนักร้องคนเดียวของวงในช่วงนั้น แต่มีใจนักเลงยิ่งกว่าผู้ชายอกสามศอก
- ตี้ (กิติพงษ์ บุญประสิทธิ์) นักร้องและมือแอคคอร์ดเดี้ยนหนุ่มที่เสรีกว่าเพื่อน
- นอกจากนี้ก็ยังมี จอก ผู้ขับร้องเพลง เจ้าพระยาฮาเฮ ในเทปกรรมาชนชุดที่ 1
- และ หมอแก่ ผู้ที่เป็นเสมือนผู้จัดการด้านวางแผนจัดจำหน่ายเทปให้กับวง
จากการที่วงกรรมาชนได้รับการต้อนรับจากเพื่อนนักศึกษาอย่างดี ประกอบกับมีพี่ (อาทิ หมอเหวง หมอหงวน) ที่ให้ความสนับสนุนทั้งในด้านความคิดและเครื่องไม้เครื่องมือ ทำให้วงกรรมาชนยิ่งมีกำลังใจ และก่อเป็นวงดนตรีที่มีศักยภาพได้ในเวลาต่อมา
ในช่วงแรกยังไม่มีเพลงที่แต่งเองของวงมากนัก ก็อาศัยเพลงที่วงดนตรีรุ่นพี่ เช่น คาราวาน หรือ ไดอะเลคตริก แต่งโดยนำมาเรียบเรียงใหม่เป็นสไตล์ของตัวเอง ต่อมาก็ค่อยๆ สร้างบทเพลงของตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลงานของ จิ้น เช่นเพลง กรรมาชน, แสง, กูจะปฏิวัติ, อินโดจีน, สลัม และเพื่อมวลชน เพลงนี้นิด-มาลี (ปัจจุบันชื่ออมร) เป็นคนขับร้องคนแรก ที่ขับร้องได้อย่างไพเราะจับใจ
นอกจากนั้นก็เป็นเพลงที่รุ่นเก่าๆได้ประพันธ์ไว้ เช่น คนกับควาย (สมคิด สิงสง), เปิบข้าว, แสงดาวแห่งศรัทธา, เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ (จิตร ภูมิศักดิ์) , หาบเร่ (วงไดอะเลคตริก) , ชาวนารำพึง (สมบัติ)
ช่วงนั้นพวกเรามีการใช้ชีวิตรวมหมู่ที่ดีมาก โดยนอนรวมกันอยู่บนชั้นหกตึกฟิสิกส์ซึ่งเป็นห้องเก็บเครื่องดนตรีของวง ห้องน้ำก็เป็นห้องทดลองทางชีวภาพซึ่งอยู่ติดกับห้องดนตรี เวลาจะเดินเข้าห้องน้ำต้องผ่านกรงของสัตว์ทดลองหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นลิง กระต่าย หนู จนบางครั้งพวกเรายังสงสัยว่าไม่แน่ อาจจะติดเชื้อหรือสารเคมีจากสัตว์ทดลองเหล่านี้ก็ได้ ทำให้เรามีความบ้ามากกว่าปกติ เพลงสลัมที่ จิ้น แต่งทำนองมาก่อนก็มาช่วยกันต่อเติมเนื้อร้องกันในห้องแห่งนี้
ในช่วงปี 2517 กรรมาชนตระเวนเล่นดนตรีแทบไม่มีวันพัก ไม่ว่าจะเป็นงานของนักศึกษาตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หรืองานประท้วงของกรรมกร ประมาณปี 2519 เล่นในงานชุมนุมรวมพลังและการต่อสู้ของกรรมกรสาขาต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ที่จำได้มีงานประท้วงของ “สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย” ที่สนามหลวง (กรรมาชนได้มีโอกาสรู้จักกับวงดนตรีต่างมหาวิทยาลัย เช่น วงต้นกล้า, กงล้อ และกลุ่มละคอนตะวันเพลิง ก็ในช่วงนี้เอง)
นอกจากนี้ยังแสดงในการประท้วงการขึ้นค่ารเมล์ตลอดจนการประท้วงของกรรมกรโรงงานต่างๆ และช่วงนี้เองที่เสมือนเป็นการหล่อหลอมพวกเราให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงดนตรีตามปกติแล้ว ยังต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกทำร้ายจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการตะโกนด่า, ขว้างปา, ยิงปืน หรือ โยนระเบิดใส่ เพราะในช่วงนั้นกลุ่มพลังประชาชนถูกคุกคามอย่างหนัก โดยปราศจากการเหลียวแลของเจ้าหน้าที่โดยอำนาจรัฐ
ช่วงนี้วงกรรมาชนมีโอกาสได้รู้จักกับเพื่อนต่างสถาบันมากขึ้น เราจึงได้สมาชิกต่างสถาบันเข้ามาร่วม ได้แก่
- นิต (นิตยา โพธิคามบำรุง) สาวนักไฮปาร์คจากศูนย์ครู มาร่วมเป็นทั้งโฆษกและนักร้อง
- มด (วนิดา ตันติศรีพิทักษ์) นักกิจกรรมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- แอ๊ด , ไหม , วา จากศูนย์นักเรียน
- และมือเทคนิกที่มาช่วยควบคุมเครื่องเสียงจากศูนย์ครูอีกคน คืด หนู (พิทักษ์ เรืองรังสี) ผู้ซึ่งถือว่าการยิ้มและหัวเราะไม่ต้องซื้อหา
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนต่างสถาบัน แต่ด้วยเหตุที่มีอุดมการณ์ร่วมที่ต้องการรับใช้สังคมและประชาชนส่วนใหญ่ผู้ยากไร้ ทั้งทนไม่ได้กับการเห็นความอยุติธรรมต่างๆ ทำให้สมารถมาร่วมงานกันได้อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ช่วงนั้นไม่ว่าจะมีการต่อสู้ที่ไหน จะต้องมีการติดต่อให้พวกเราไปแสดง และพวกเราจะพยายามไปให้ได้มากที่สุดเพื่อไปให้กำลังใจพวกเขา การต่อสู้ของกรรมกรบางแห่งยืดเยื้อบางครั้งอาจเป็นเดือน ๆ ไป ๆ มา ๆ พวกเราเลยไปกินนอนที่นั่นเลย เรียกว่าอยู่กันคุ้นเคยเสมือนญาติสนิท เช่น ที่โรงงานที่อ้อมน้อย ฮาร่า โมวเลม สแตนดาร์ดการ์เม้นท์ เช้าขึ้นมาก็ตื่นไปเรียนหนังสือ ตกเย็นก็กลับมาร่วมประท้วงต่อ บางครั้งมีการยืมตัวกันระหว่างนักดนตรี กับนักละคอน รวมทั้งต้องหัดเล่นตลกด้วยเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด
การเดินสายต่างจังหวัด ในช่วงปิดเทอมใหญ่ วงกรรมชาชน จะมีแผนเดินทางไปแสดงต่างจังหวัดครั้งละหลายๆ วัน โดยครั้งแรกเราได้ไปทางภาคเหนือ เริ่มต้นที่เชียงใหม่ การไปก็ประสานกับศูนย์นักศึกษาภาคเหนือ การเดินทางก็ใช้รถเชฟโรเลต รุ่นเก๋ากึก ที่มีผู้ใจดีบริจาคให้ “ศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย”(หลัง 14 ต.ค. 2516) เป็นรถกระบะเปิดประทุน (เอ้ยเปิดท้าย) สีขาวหม่น คันใหญ่มากเกือบเท่ารถหกล้อ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มฟังน่ากลัว แต่ความแข็งแกร่งปลอดภัยไม่ต้องห่วง (เคยผ่านการพิสูจน์กับรถทัวร์ประจำทางมาแล้ววว) ดูสภาพไม่น่าจะไปถึงเชียงใหม่ แต่ด้วยโชเฟอร์ของเราซึ่งเป็นนักศึกษาอาชีวะเรียนที่ช่างกลพระรามหก ชื่อ สรยุทธ์ ทำให้ค่อยซ่อมค่อยไปจนภาระกิจลุล่วงไปได้
เราขนทั้งเครื่องเสียงเครื่องดนตรี ตลอดจนเครื่องปั่นไฟไปเองทั้งหมด เมื่อประสานงานกันได้ก็เริ่มตระเวนแสดง (แหมทำยังกับวงลูกทุ่งดังงั้นแหละ นี่ถ้าเขาจ้างไปเล่นคงรวยแย่) เปิดฉากที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก่อน นักศึกษาให้ความสนใจจนแน่นหอประชุม พวกเราช่วงนั้น ก็แต่งตัวตามสมัย คือกางเกงยีนส์เสื้อยืดคลุมด้วยเสื้อเขียวแบบทหาร อีกทั้งหน้าตา ผมเผ้าก็ค่อนข้างรกรุงรังแถมบางคนไว้หนวด ทำให้น้องนักศึกษาบางส่วนไม่กล้า
เข้ามาชมการแสดงจากมหาวิทยาลัยเราก็เข้าแสดงตามหมู่บ้านต่างๆ เท่าที่จำได้มีหมู่บ้านของ พ่อหลวงอินถา สีบุญเรือง (ประธานสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือ) ซึ่งต่อมาถูกลอบสังหารเสียชีวิต และหมู่บ้านแกนนำสมาชิกสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ภาคเหนือทั้งหมด โดยมีนักศึกษาเชียงใหม่รุ่นพี่ชาวอิสลามชื่อ “พี่บัง” เป็นผู้ประสานและนำทาง มี พี่สถาพร ศรีสัจจัง เป็นที่ปรึกษา ช่วงนั้นกรรมมาชนไปตระเวนแสดงที่เชียงใหม่อย่างน้อย 2 ครั้ง ทั้งแสดง พักกับชาวบ้าน เกี่ยวข้าว พูดคุยแลกเปลี่ยน และจากการที่ได้ใกล้ชิดกับชาวบ้านยิ่ง ทำให้เห็นปัญหาต่างๆ ของชาวบ้านมากขึ้น ประเพณีต่างๆ ของชาวบ้านเราก็ได้มาพบเห็นที่นี่ เช่นวันนั้นเป็นวันลอยกระทงพอดี
พอช่วงกลางคืนชาวบ้านจะถือกระทงมายืนรวมกลุ่มกันในวัด พอกลุ่มใหญ่พอสมควรก็จะทำการแห่ไปลอยที่ริมแม่น้ำพร้อมกัน ใครมาไม่ทันกลุ่มนี้ก็รอไปรอบต่อไป ดูน่ารักและเป็นกันเองดีมาก นี่แหละคือวัฒนธรรมชาวบ้านอันทรงคุณค่า มีครั้งหนึ่งที่วงกรรมาชนได้ไปแสดงที่เมืองพร้าว พบแพทย์รุ่นพี่ที่มีอุดมการณ์สูงและทุ่มเทให้กับงานพัฒนาอย่างเอาจริงเอาจัง หลังจากการตระเวนแสดง เราได้ทั้งกำลังใจและบทเรียนในการเคลื่อนไหวเป็นอย่างดี
หลังจากขึ้นภาคเหนือแล้วกรรมาชนมีโครงการล่องใต้ในปีถัดมา (ประมาณปี 2519) คราวนี้เรามีวงดนตรีไทยเดิม วงต้นกล้า ซึ่งนำโดย ป่อง (รังสิต จงฌานสิตโธ), ป้อม (นิธินันท์ ยอแสงระตน์) ร่วมเดินทางไปด้วย
อ้อ! ช่วงนี้เนื่องจากกรรมาชนมีงานแสดงมากขึ้น ทำให้ต้องเลือกรับเป็นบางงาน ทำความลำบากใจให้ทั้งพวกเราและผู้ที่มาติดต่อ เราจึงไปชวนนักศึกษารุ่นน้องซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาคณะสาธารณสุขมาร่วม โดยมีโครงการแยกเป็น 2 วง เพื่อให้รับงานได้ทัน น้องที่มาร่วมใหม่ได้แก่ หมี, อาดิษฐ์, ป๊อก, ริน และเฉา (เสียชีวิตแล้วที่บริเวณป่าเขาเขตแดนกัมพูชา) แต่เอาไปเอามาก็เป็นการรวมเป็นวงใหญ่ขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถแยกเป็น 2 วงได้ตามวัตถุประสงค์
พูดเรื่องล่องใต้ต่อ การเดินทางของพวกเราในครั้งนั้น เราเดินทางโดยรถไฟ โดยอาศัยขนเครื่องดนตรีขึ้นตู้สัมภาระ ส่วนพวกเรานั่งนอนกันแถวบันไดประตู จอดสถานีทีก็ตื่นขึ้น แล้วลุกเปิดทางให้ผู้โดยสารขึ้นลง พอรถวิ่งก็ขอตัวลงนอนใหม่ ดังนั้นจึงถือว่าแทบไม่ได้นอนกันทั้งคืน เราไปลงกันที่สถานีช่องช้าง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
จากนั้นก็เดินทางต่อโดยรถยนต์เข้าไปยังหมู่บ้าน (จุดที่เขาประสานให้พวกเราไปแสดง) ทีแรกก็นึกสงสัยเหมือนกัน ว่าทำไมชาวบ้านที่นี่ถึงดูสุขุมลุ่มลึกแปลกๆ เราอยากพูดถึงเหตุผลที่พวกเขาลำบากยากแค้นและปลุกให้เขาว่าต้องต่อสู้ แต่พวกเขากลับอมยิ้มเหมือนว่าเห็นว่าเราไร้เดียงสา แต่พอก่อนการแสดงเล็กน้อยมี ปาฐกฐาของผู้นำชาวบ้านขึ้นมากล่าวบนเวที โดยร่ายยาวประมาณ 1 ชั่วโมงเห็นจะได้ ซึ่งเนื้อหาที่พูดนั้นอัดแน่นไปด้วยเนื้อหาและความชัดเจนในแนวทางการต่อสู้ ทำให้พวกเราพากันตั้งใจฟังอย่างอ้าปากค้างก็ว่าได้ และก็ถึงบางอ้อ ว่าที่แท้พวกชาวบ้านที่นี่ไม่ธรรมดา ซึ่งพวกเขาอยู่ในที่ ๆ พวกเราไม่ควรได้พบ หากเขาให้เกียรติพวกเราเหลือเกิน เขาชี้ไปบนภูเขาสูงบอกเป็นนัยว่าอยากเชิญชวนพวกเราไปเที่ยว
คืนนั้นพวกเราพากันนอนไม่หลับทั้งคืน เฝ้าแต่พูดคุยสอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ข้างบน ความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การกินอยู่ และการดำเนินชีวิตโดยทั่วไป กระบวนการหล่อหลอมทางความคิด พวกเราจะเข้าไปเที่ยวได้เมื่อไหร่? ฯลฯ โดยที่ไม่คาดคิดเลยว่าในที่สุดพวกเราก็ถูกขับไสไปจนได้หลังช่วงเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519
พอรุ่งเช้าพวกเราตื่นขึ้นมาซ้อมบทเพลง แลกเปลี่ยนกับชาวบ้าน และถือโอกาสต่อเพลงปฏิวัติที่พวกเราแกะเนื้อร้องจากสถานีวิทยุ ส.ป.ท. ไม่ค่อยชัด กำลังเพลิดเพลินอยู่ในห้องเรียนของโรงเรียนที่เราพักนอนเมื่อคืน ขณะที่กำลังม่วนชื่นอยู่กับการร้องเพลงปฏิวัติอยู่นั้น พลันมีปากกระบอกปืน M 16 ยื่นออกมาทางหน้าต่างจิ้มเข้ามาที่ข้างแก้มของผมเข้าพอดี พร้อมกับการปรากฎกายของทหารเป็นหมวด โดยอาวุธประจำกายครบครันทุกคน ทำให้พวกเราหลายคนพากันหน้าซีดเป็นไก่ต้ม พวกทหารพากันสำรวจพื้นที่และสอบถาม พวกเราอยู่สักพักก็พากันถอยกลับไป หลังจากพวกทหารหายลับไปพวกชาวบ้านก็เข้ามาปลอบขวัญพวกเรา และเล่าให้ฟังว่า เป็นเหตุการณ์ปกติทางพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้ว ว่าจะเข้ามาแต่พวกเขาไม่บอกพวกเราล่วงหน้า โดยกลัวว่าพวกเราจะไม่กล้ามาแสดง สรุปว่า พวกชาวบ้านรู้มาก่อนและสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อยู่แล้ว เฮ้อ! โล่งอกไปที เหตุการณ์ในครั้งทำให้พวกเราหลายคนสับสนว่า เอ….เราอยู่ในประเทศไหนกันแน่ และหมู่บ้านนี้มีความเป็นมาอย่างไร
หลังจากเราเดินทางออกจากที่นั่น พวกเราก็เดินทางต่อลงใต้ไปแสดงดนตรีอีกหลายแห่ง ผ่าน นครศรีธรรมราช ไล่ไปจนถึง ยะลา ที่นี่เราได้รู้จักภาษายะวี ได้กินน้ำบูดู ได้หลับนอนโดยใช้โสร่งแทนผ้าห่มคลุมกาย ได้เดินทางไป แสนดง ในป่าจริงๆ บางแห่งแทบไม่มีหมู่บ้านให้เห็น บ้านคนก็แทบไม่มี ไม่มีไฟฟ้า แถมยังมีแมลงหลากชนิดหลากพันธุ์ ทั้งกัดทั้งบินวนที่หน้ารบกวนขณะที่พวกเรากำลังแสดง
ดังนั้นนักดนตรีจำต้องมีความสามารถพิเศษ นั่นคือทั้งเล่นและต้องคอยไล่ปัดแมลง เช่น ป่อง-ต้นกล้า ต้องสีซอด้วย มือข้างเดียว ผมก็ต้องร้องเพลงพร้อมกับเอามือป้องปากกันแมลงเข้า อากาศที่นี่ก็ชื้นแฉะ แต่ออกอบอ้าวในช่วงหัวค่ำและหนาวเย็นในช่วงดึก ที่ทางใต้เขาเรียกว่า “ควน” กว่าการแสดงจะเข้าที่เข้าทางก็เล่นกันจนดึก คืนนั้นหลังการแสดงพวกเราได้ลิ้มรสแมลง เม่าคั่วไฟเป็นครั้งแรก ขั้นแรกชาวบ้านจะเอากะละมังใบเขื่องใส่น้ำแล้วนำไปตั้งไว้ใกล้ๆ แสงตะเกียง สักพักแมลงเม่าจะบินตกลงไปเป็นสาย คืนนั้นพวกเราเลยได้กินแมลงเม่า คั่วไฟกันจนอิ่มแปร้
ที่หมู่บ้านนี้เองที่กรรมาชนได้ท่วงทำนองเพลงพื้นบ้านชื่อ “เอ็นด๋ง” จนขณะเรานั่งรถไฟเดินทางกลับ เราก็พากันฮัมท่วงทำนองเพลงนี้เพื่อความทรงจำอันดี จนหลังจากนั้นอีกประมาณปีเศษ หลังเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 ส่วนหนึ่งของกรรมาชน คือ จิ้น นิต และผม ได้เดินทางเข้าป่าเขาและได้พบกับ วิสา คัญทัพ ที่สำนัก A 30 เราจึงช่วยกันแต่งเติมเนื้อเพลงจนเกิดเป็นเพลง บินหลา (กู้เสรี) ขึ้นมา
ช่วงที่พวกเราเดินทางกลับจากภาคใต้ การต่อสู้ทางการเมืองในช่วงนั้นแหลมคมและรุนแรงมาก พวกที่พยายามฟื้นระอบเผด็จการ พยายามสร้างสถานะการณ์ให้เกิดความวุ่นวายแล้ว โทษว่าเป็นการกระทำของนักศึกษา โดยพยายามตั้งกลุ่มทางการเมืองมาชนหลายกลุ่ม อาทิ กระทิงแดง นวพล ให้ต่อต้านขบวนนักศึกษาโดยใช้ความรุนแรง (ตามนโยบายแบ่งแยกแล้วปกครอง) ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวต่อสู้ที่ไหน จะต้องมีความรุนแรงและมีผู้บาดเจ็บ ล้มตายตลอด
มีครั้งหนึ่งที่ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ร่วมกับแนวร่วมประชาชน เดินขบวนไปประท้วงสถานฑูตสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2519 ขบวนเดินจาก มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผ่านมาทางถนนหลานหลวง ขณะที่ขบวนผ่านมาที่บริเวณ สยามสแควร์ มีเสียงตูมดังสนั่น เนื่องจากมีระเบิดโยนลงมาจากอาคารสูงบริเวณนั้น หลังจาก เสียงระเบิดปรากฎว่ามีพวกเราบาดเจ็บและล้มตายกันไปหลายคน หมู (พลศิลป์) สมาชิกคนหนึ่งของวง ได้ช่วยอุ้มพาคนเจ็บส่งโรงพยาบาลจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยด้วยเลือด อย่างไรก็ตามพวกเราก็พากันเคลื่อนขบวนต่อและไปปักหลักอยู่หน้าสถานฑูตอเมริกาจนได้
ณ ที่ตรงนั้นเราตั้งเวทีบนหลังคารถหกล้อ มีการไฮปาร์คสลับกับการเล่นดนตรี โดยมีวัตถุประสงค์ในการไล่ฐานทัพของอเมริกาให้ออกไปให้พ้นแผ่นดินไทย การประท้วงยืดเยื้อ สลับพูดสลับเพลงกันไปมาจนถึงเช้า ผู้คนที่อยู่กันมากมายไม่ยอมถอยหนี แต่วัฒนธรรมในการต่อสู้หรือฟังเพลงเพื่อชีวิตในยุคนั้น จะไม่มีการลุกขึ้นมาดิ้น หรือเต้นประกอบเพลงเหมือนปัจจุบัน ผู้คนจะนั่งฟังเพื่อซึมซับเนื้อหาของเพลงอย่างตั้งใจ
วงกรรมาชนจะเป็นวงที่ยืนพื้นในการประท้วงที่ยืดเยื้อจริงๆ เพราะสามารถอยู่โยงได้ ยามใดขาดคนไฮปาร์ค หรือ ยามดึกดื่นจนผู้คนพากันอ่อนเพลียแล้ว วงกรรมาชนจะต้องเป็นผู้ปลุกเร้าวิญญาณแห่งการต่อสู้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเสียงปืนหรือเสียงระเบิดพวกเราแทบจะชาชินกับมันไปแล้ว จึงไม่น่าแปลกเลยว่าช่วงที่ประชาชนนักศึกษาถูกล้อมปราบ และถูกยิงกระหน่ำในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในช่วงประมาณ ตี 2 ถึง 6 โมงเช้าของวันที่ 6 ตุลาคม ทั้งนิตยาและผมนอนหลับไหลอยู่ข้างๆ เวทีท่ามกลางเสียงปืนและเสียงระเบิดนั่นเอง
เกี่ยวกับการบันทึกเทป
วงกรรมาชนมีการบันทึกเทปครั้งแรก ประมาณปี พ.ศ. 2517 หน้าปกจะเป็นรูปหน้าผู้หญิงชาวบ้านมีผ้าโพกศีรษะมีลักษณะครุ่นคิด ชุดนี้มีเพลง กรรมาชน, คนกับควาย, ข้าวคอยฝน, เปิบข้าว, เพื่อมวลชน, กูจะปฏิวัติ, ชาวนารำพึง, แสง, เจ้าพระยาฮาเฮ, สู้ไม่ถอย, มาร์ชประชาชนเดิน
ช่วงนั้นเทปคาสเสทท์ยังเป็นของใหม่สำหรับบ้านเรา ไม่น่าเชื่อว่าเทปผลิตขายไม่ทัน รายได้จากเทปเราใช้สำหรับเคลื่อนไหวและสนับสนุนการต่อสู้ของประชาชน
วงกรรมาชนมีการบันทึกเทปครั้งที่ 2 ประมาณปี พ.ศ. 2518 ชุดนี้มีเพลง อินโดจีน, รักชาติ, ใช้ของไทย, โปสเตอร์, เสียงเพรียกจากมาตุภูมิ, รำวงเมย์เดย์, บ้านเกิดเมืองนอน, ศักดิ์ศรีแรงงาน
และวงกรรมาชน มีการบันทึกเทปชุดที่ 3 ในเวลาไร่เรี่ยกัน ชุดนี้ส่วนใหญ่เป็นเพลงมาร์ช ซึ่งเป็นผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์
เหตุการณ์ประทับใจ
ที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ วันนั้นขณะแสดง อยู่ดีๆ เครื่องแอมป์ตัวหนึ่งเกิดระเบิดขึ้น การแสดงต้องหยุดชะงักลง มีผู้ชมคนหนึ่งตะโกนว่าช่วยกันบริจาคซื้อแอมป์ใหม่ให้กรรมาชน แล้วก็เปิดหมวกเดินรับกันเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ถึง 10 นาที เราก็มีเงินพอที่จะซื้อ ปู่ (ปรีดา) และ หนู (พิทักษ์) รีบนั่งแทกซี่ไปบ้านหม้อ แล้วกลับมาพร้อมกับแอมป์ตัวใหม่ ผู้ชมก็ไม่หนีรอจนกระทั่งเราสามารถเปิดการแสดงต่อได้
ที่ท้องสนามหลวง วันนั้นเป็นการรวมพลังรณรงค์ให้ใช้สินค้าไทย ปรากฎว่าฝนตกหนัก (ต้องเข้าใจก่อนว่าเครื่องเสียง ยุคนั้นไม่มีมิกซ์) ผู้ชมที่อยู่ไกลๆ ก็ฟังจากเสียงฮอลล์ที่พ่วงไปเท่านั้น ผู้คนเต็มลานท้องสนามหลวงแทบไม่มีที่ยืน พวกเราที่แสดงบนเวทีถูกไฟฟ้าดูดกันทุกคน เพราะเป็นเครื่องดนตรีไฟฟ้าทั้งหมด แต่มวลชนไม่ยอมถอย บอกให้เล่นต่อ พวกเราก็ลุยกันอย่างไม่กลัว จำได้ว่าเวลา จิ้น รูดคีย์บอร์ดแต่ละครั้งมีน้ำฝนสาดกระจายออกจากแป้นคีย์ ยังงงอยู่ว่าเครื่องดนตรีก็อาจจะถูกหล่อหลอมเหมือนพวกเรา
สุดท้ายนี้ต้องขอออกตัวก่อนว่า บันทึกนี้เกิดขึ้นจากความทรงจำที่พอจะระลึกได้ เพราะเวลาได้ห่างกันประมาณ 29 ปี (ปัจจุบัน พ.ศ. 2545) ถ้ามีเหตุการณ์ใดที่มีความผิดเพี้ยนไป ผมขอน้อมรับความคิดเห็นด้วยความยินดี และหวังให้สมาชิกวงกรรมาชน และอดีตแฟนเพลงวงกรรมาชน
ช่วยกันเสริมต่อประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้นต่อไปไปครับ
กิติพงษ์ บุญประสิทธิ์ (ตี้ กรรมาชน)
บันทึกครั้งแรก 6 เมษายน 2541 ตามคำบัญชาของพี่แดง คาราวาน, แก้ไขเปลี่ยนแปลง 27 กรกฎาคม 2545