
ก่อนจะเกิดเพลงชีวิตในยุคของเพลงไทยสากล หลัง พ.ศ. 2475 เนื้อหาสะท้อนภาพชีวิตและสังคมไทย มีอยู่ในเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองของประชาชนแต่ละภูมิภาคมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ตัวลูกขัดสนยากจนหนักหนา ทั้งผ่อนทั้งผ้าก็ไม่มี
จงทำบุญกับคนตาบอด ไปไหนไม่รอดแล้วครานี้
ขอข้าวสักถ้วยขอกล้วยสักใบ แต่พอยาไส้เลี้ยงชีวี
ลูกยากยับแสนอัประมาณ จงได้ทำทานกับตัวข้านี้
ท่านจงเมตตาได้ปราณี เสียแล้ววันนี้เออเอ๊ยนา (รับ)”
บทเกริ่นนำจากหนังสือเพลงขอทาน เล่ม 2 เรื่องลักษณวงษ์ โรงพิมพ์วัดเกาะ แต่งโดย นายเจริญ
ก่อนที่ ยืนยง โอภากุล (แอ๊ด คาราบาว) นักรัองแนวเพลงสะท้อนชีวิตที่ฟูเฟื่องมากที่สุดในปัจจุบัน จะหยิบเอาชีวิตวณิพกตาบอดที่เห็นกันดาษดื่น สองข้างทางเดินมาตีแผ่ในเพลง “วณิพก” ด้วยจังหวะดนตรีอันเร้าใจในทศวรรษที่ผ่านมา
หนังสือเพลงขอทานอันเป็นเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองไทยแขนงหนึ่ง ได้ตีพิมพ์ออกเผยแพร่มาตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อต้นรัชกาลที่ 6 ยาวนานร่วมศตวรรษมาแล้ว โดยไม่นับช่วงเวลาที่บทเพลงนี้ ขับขานสืบทอดแบบปากต่อปากกันมาก่อนการตีพิมพ์อีกไม่รู้สักกี่ปี
ถึงแม้จะต่างยุคต่างสมัย แต่เนื้อหาโดยรวมในเพลงของ นายเจริญ เมื่อศตวรรษก่อน กับของ ยืนยง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา กลับไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก หากไม่นับรูปลักษณ์ทางดนตรีและถ้อยคำสำนวนที่พัฒนาไปตามกาลเวลา เนื้อหาที่สะท้อนภาพชีวิตและสังคมไทย มีอยู่ในเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองของประชาชนในแต่ละภูมิภาคมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
บทเพลงแห่งแรงงานสู่การพักผ่อนและระบายความคับแค้น
จุดเริ่มต้นของเพลงพื้นบ้านเกิดจากการรวมกลุ่มกันทำการผลิตทางการเกษตรในท้องไร่ท้องนา เป็นวัฒนธรรมทางบันเทิงอย่างง่ายๆ ของประชาชนเพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน
จากการออกเสียงช่วยเป็นสัญญาณนัดหมายให้ลงแรงทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้พร้อมๆ กัน กลายมาเป็นจังหวะเป็นทำนองสูงต่ำของบทเพลงในที่สุด เห็นจากเพลงเกี่ยวข้าวของพื้นบ้านภาคกลางที่มีเสียงให้จังหวะลงเคียวฟันต้นข้าวว่า “…เฮ้……..เฮ้..” หรือเพลงเรือที่มีเสียงให้จังหวะวาดพายจ้วงน้ำดัง “..ฮ้า..ไฮ้” หรือ “..เชียบๆ” และในลักษณะการก่อเกิดที่ไม่แตกต่างกันนัก ทางภาคใต้ก็จะมี เพลงบอก เพลงร้องเรือ ฯลฯ ส่วนทางภาคอีสานก็จะมี เพลงเซิ้งประเภทต่าง ๆ
ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดเพื่อการผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน เพลงพื้นบ้านจึงมีรูปแบบที่เน้นความเรียบง่ายในการร้องและการเล่น คำร้องมักใช้คำสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อสะดวกแก่การโต้ตอบและการร้องรับของลูกคู่ ส่วนเนื้อหาสาระเป็นเรื่องสนุกสนานเฮฮาเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว ไปจนถึงเรื่องเพศในรูปของคำสองแง่สามง่าม ไม่พยายามที่จะนำเอาเรื่องความทุกข์มาร้องมาเล่นกัน
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ในยามใดที่อึดอัดขัดข้องจากความทุกข์อันหนักหน่วง ทั้งจากภัยธรรมชาติหรือการถูกเอารัดเอาเปรียบ เพลงพื้นบ้านก็เป็นทางระบายออกของประชาชนที่ดีทางหนึ่ง เช่น
“ว่าแม่มาน้องมา ทำเอ๋ยนามันก็ไม่ได้ข้าว ปีนี้เสียเปล่า น้ำไหล
พอน้ำแม่เอ๋ยมันหลาก เชี่ยวมันก็มากไม่หาย
นครนายกเขายินสายน้ำฉ่ำ สงสารแต่พวกนาดำนาไร่
ตำบลบางลูกเสือมันเหลือแก้มเปล่า มันก็ไม่ได้ข้าวเชื่อขาย
แต่พอน้ำหลากน้ำก็มากท่วมล้น เสียไปหมดทั้งตำบลยังคนใบ้”
หรือ
“สงสารคนจนที่เขาไม่มีนาทำ เขาอุตสาห์หน้าดำแดดตาย
ไปทำนาเช่าก็ไม่ได้ข้าวมากน้อย ปีละร้อยสองร้อยเจ้าของเอาไป
แต่คนทำมันแสนจะช้ำเหลือทน ต้องกรำฟ้ากรำฝนเรื่อยไป
กรำฟ้าหรือก็ทนกรำฝนก็ลำบาก ไปด้วยความจนยาก ยิ่งใหญ่
บางคนรวยเขาก็อนิจจัง เอาไร่ละห้าถัง ตายต๊าย ตาย
กรรมเอ๋ยกรรม เพราะเราไม่มีนาทำจะทำอย่างไร”
เพลงระบำบ้านนา นครนายก
แม้กระทั่งความคับแค้นใจจากความอยุติธรรมทางการเมือง ก็เคยปรากฎว่าชาวบ้านได้ระบายความคับแค้นไว้ในเพลงพื้นบ้าน เช่นเรื่องราวของ “เจ้าการะเกด” ในเพลงพวงมาลัยสมัยกรุงศรีอยุธยา
“เจ้าการะเกดเอย เจ้าขี่ม้าเทศจะไปท้ายวัง
ชักกริชออกมาแกว่ง ว่าจะแทงฝรั่ง
เมียห้ามก็ไม่ฟัง เจ้าการะเกดเอย”
สันนิษฐานว่าเป็นเพลงพื้นบ้านที่สะท้อนสังคมและการเมืองไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีการติดต่อกับฝรั่งต่างชาติหลายประเทศ แสดงออกถึงความรู้สึกของประชาชนที่เกลียดชังและต่อต้านชาวต่างชาติ ที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบอย่างรุนแรง ภายหลังวงดนตรีไทยเดิมในแนวเพื่อชีวิต ชื่อ วงต้นกล้า ของนักศึกษาธรรมศาสตร์ได้นำเอาเพลงนี้มาใส่ทำนอง “แอ่วเคล้าซอ” ประยุกต์เป็นเพลงขับไล่ฐานทัพอเมริกาที่เข้ามาตั้งในประเทศไทยราวปี พ.ศ. 2518
คือเพลงสากลแห่งชนชั้นล่างของสังคม
ทั้งนี้เนื้อหาที่สะท้อนสภาพสังคม วัฒนธรรมความเป็นอยู่และภาวะทางการเมืองนั้น กล่าวได้ว่ามีอยู่ในเพลงพื้นบ้านพื้นเมืองของทุกชาติทุกภาษา เห็นชัดที่สุดจากเพลงบลูส์ของบรรดาทาสนิโกรอเมริกัน ตั้งแต่ต้นคริสศตวรรษที่ 18
ความเจ็บแค้นจากการถูกคนอเมริกันจับมาเป็นทาส รับใช้ในท้องไร่ท้องนาอย่างไร้มนุษยธรรม ถูกระบายออกมาเป็นเสียงเพลงอันโหยหวล แสดงออกถึงสภาพจิตใจเศร้าหมอง สลดหดหู่ โดยมีลูกคู่เปล่งเสียงประสานให้เข้ากับจังหวะในการทำงาน เช่น เพลงของทาสชาวนาในมลรัฐจอร์เจียตอนหนึ่งว่า
“(ร้องนำ) ไอ้พ่อค้าทาสมันจับฉันได้
(ลูกคู่ร้องรับ) โอ..ช่างน่าสมเพชเวทนาเหลือเกิน”
จากจุดเริ่มต้นเพื่อระบายความเจ็บแค้น ต่อมาเพลงบลูส์ได้พัฒนาไปสู่การเป็นเพลงเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ แตกแขนงออกไปทั้งเนื้อหาและรูปแบบ จนกลายเป็นวัฒนธรรมทางดนตรีแขนงหนึ่งของอเมริกาในทุกวันนี้ รวมถึงเพลงโฟล์คซอง ที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ การทำสงคราม การผจญภัย หรือการบุกเบิกก่อตั้งถิ่นฐานของพรรพบุรุษชาวอเมริกันเมือหลายศตวรรษก่อน ขับขานสืบต่อกันมาแบบปากต่อปาก จนได้รับการพัฒนามาเป็นเพลงโฟล์คอย่างในปัจจุบัน
เพลงพื้นบ้านกับการเมืองในหน้าหนังสือพิมพ์
สำหรับในประเทศไทย การที่เพลงพื้นบ้านพื้นเมืองเป็นวัฒนธรรมบันเทิงที่อยู่คู่กับวิถีดำเนินชีวิตของประชาชนมาโดยตลอด มีบทบาทในการสะท้อนภาพชีวิตและสังคมแต่ละยุคสมัย เมื่อสื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์มีบทบาทขึ้นในสังคม ก็ได้ใช้รูปแบบของเพลงพื้นบ้านในการเขียนสะท้อนปัญหาบ้านเมือง หรือวิพากษ์วิจารณ์ตลอดจนเสียดสีผู้มีอำนาจในการบริหาร ซึ่งนอกจากเป็นวิธีการเขียนที่ดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านได้ดีแล้ว ลักษณะแบบทีเล่นทีจริงยังทำให้ไม่ล่อแหลมต่อการถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลจนเกินไปอีกด้วย
เช่น กลอนลำตัดของ นายแก่นเพชร (เสม สุมานันท์) บรรณาธิการหนังสือข่าวรายสัปดาห์ “เกราะเหล็ก” ในสมัยรัชกาลที่ 7 ราวปี พ.ศ. 2468 ก่อนการปฏิวัติ 2475 ราว 7 ปี มีลักษณะที่อุปมาดั่งผู้แทนราษฎรในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะคอยวิพากษ์วิจารณ์ ข้อบกพร่องในการบริหารงานของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น ผู้ว่าราชการ อยู่เป็นประจำ ครั้งหนึ่ง นายแก่นเพชร เสียดสี นายฮง นาวานุเคราะห์ ผู้ดำเนินการบริษัทกำจัดอุจจาระในสมัยนั้น ด้วยกลอนลำตัดแสบ ๆ คัน ๆ ว่า
“หลีก หลีก รถขี้จะออก
ถ้าขวางปากตรอก รถจะชนหัวแตก (ซ้ำสองเที่ยว)
นายฮงรัษฎา ที่อาสาขนขี้
ดูท่าทางเข้าที แต่เดี๋ยวนี้ดีแตก”
และไม่เพียง หนังสือข่าวเกราะเหล็ก เท่านั้น แต่ที่ หนังสือหลักเมือง ก็มีลำตัดการเมืองของ วงค์เฉวียง (เฉวียง เสวตะทัต) และ หนังสือสมานไมตรีก็มี เสือเตี้ย (โกศล โกมลจันทร์) ล้วนมีฝีปากและคารมในการประชดประเทียดเสียดสีได้เผ็ดร้อนไม่แพ้กัน จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคอลัมนิสต์ที่ร่ายลำตัด หรือเพลงเรือ วิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมืองไทย เช่น แนวเขียนของ วานิช จรุงกิจกนันต์ ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันช่วงปี พ.ศ. 2528
ครั้นมาสมัยหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เมื่อยุคของเพลงไทยสากลเปิดฉากขึ้น บทบาทของเพลงสะท้อนภาพชีวิตเสียดสีสังคม จึงปรากฎเด่นชัดบนเวทีละครร้องและเวทีประกวดตามงานวัด โดยศิลปินนักร้องนักประพันธ์เพลงแนวชีวิตอย่าง แสงนภา บุญราศรี ผู้บุกเบิก ตามมาติด ๆ ด้วย เสน่ห์ โกมารชุน โดยบางเพลงได้พยายามประยุกต์เพลงพื้นบ้านประเภทลำตัด ลิเก มาเข้ากับท่วงทำนองเพลงไทยสากล ในเนื้อหาล้อการเมืองได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนและตลกขบขัน