มีคนจำนวนไม่น้อย เก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋า แบกความหวังไว้บนบ่า บากหน้าตามหาความฝันของตนเอง… บางคนอยากเป็นนักร้อง บางคนอยากเป็นหมอนวด กระทั่งบางคนอยากเป็นดารา (นางแบบ-นายแบบ) ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือกระทั่งอยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพียงเพื่อหลบหนีความยากจน-คับข้องที่เผชิญอยู่ โดยคิดว่าความร่ำรวย (ทางวัตถุ) จะสามารถตอบคำถามทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตได้
แต่บางคนแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ความร่ำรวยไม่ใช่ทางออกของชีวิตหรอก ความมั่งคั่งทางจิตใจและความเรียบง่ายต่างหากละ จะทำให้ตลอดชีวิตยั่งยืนได้…”
หากทว่าการไต่ระดับหาความสมดุล โดยอยู่ระหว่างไม่จนและไม่รวยมากนักก็เป็นความสุขและศิลปะชีวิตอีกแบบหนึ่งคือพอมีกินอะนะ แต่ไม่ถึงกับพอเพียง เพราะท่ามกลางการท้าทายของพลังการผลิตในเทคโนโลยีและวัตถุที่ชวนให้ครอบครองนั้น ความเป็นจริงคือเราไม่ได้กินข้าวแค่วันเดียว และความพอเพียงเป็นเพียงลักษณะที่ไม่สมบูรณ์ หรืออาจเรียกว่าเป็นลักษณะสัมพันธ์นั่นเอง
แต่ทว่าแน่ทีเดียวทุกคนล้วนมีความฝันเป็นของตัวเอง (ยกเว้นคนไม่อยากฝันหรือไม่สามารถฝันได้) และขับเคลื่อนมันตามจังหวะและทางที่เปิดให้เดิน กระทั่งบางคนถูกปิดประตูความฝันของตนเองด้วยคนอื่น หรือด้วยความสั่นกลัวของตัวเองต่อก้าวแรกที่จะย่ำไปข้างหน้า ซึ่งไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ในอนาคต..
…ชายผู้หนึ่งถามหนทางที่จะพาเขาไปสู่จุดหมายว่า “ทำไมหนทางที่ข้าเดิน ยิ่งเดินยิ่งยาวออกไปเรื่อย ๆ”
หนทางยิ้มและเอ่ยว่า “แตกต่างกันตรงไหนระหว่างเจ้าหยุดกับเจ้าเดิน”
แต่ทว่าทางหนึ่งเส้นล้วนมีหลายคำตอบ บางคนอาจหลงทางและหาทางไปต่อไม่เจอ บางคนเดินเหงา ๆ คนเดียว บางคนอ่อนล้า-โรยแรง หลายคนอาจซบหน้ากับความเศร้าและกลั่นฝันออกมาเป็นน้ำตา เพราะทางที่ก้าวเดินมายังมองไม่เห็นฝั่งหรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของฝัน หรือเพราะความหยามหมิ่นอย่างอ่อนเยาว์ของเพื่อนผู้ร่วมเดินทางด้วยกัน หรือเพราะแรงเสียดทานของความจริงกับความฝันที่ยืนอยู่กันคนและขั้ว ทว่าว่ากี่ครั้งแล้วหนอที่เราทิ้งขว้างความฝันของเราตามรายทางของวันวัย แล้วเดินจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง แล้วมีอีกชีวิตหนึ่ง หรือหลายชีวิตตามมา… แล้วเราก็ตายจากไป
ทว่าใช่ทีเดียวความฝันและชีวิตเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ออก เพราะความฝันนำไปสู่การออกแบบชีวิตใหม่โดยทิ้งชีวิตเก่า และเพราะชีวิตใหม่เป็นส่วนหนึ่งของความฝัน หากแต่ไม่ใช่การหลับฝัน แต่เป็นการช่าง (ชั่ง) ฝัน หากมนุษย์ไม่มีความฝันชีวิตคงหม่นหมองไม่น่าดู หรือว่าหากมนุษย์ไม่มีความฝันนั้นจะเป็นสิ่งที่ดีกันแน่เล่า เพราะไม่ต้องคิดหาแรงบันดาลใจอะไรมากมาย แค่ก้าวเดินไปและพยักหน้าอย่างเดียวก็พอ
ไม่ว่าคุณจะฝันหรือไม่อยากฝัน เพราะช่าง (ชั่ง) ฝัน และช่างเลือกฝัน หรือไม่รู้ว่าจะฝันอะไร หรือฝันไปก็เท่านั้นละว้า ลองหันไปถามคนข้าง ๆ ว่า “ความฝันของคุณอบอุ่นบ้างไหม” คุณจะได้รับคำตอบที่น่าอัศจรรย์ใจทีเดียว เพราะมันจะเป็นคำตอบสำหรับ รางวัลแด่คนช่าง (ชั่ง) ฝัน… และคุณอาจจะได้คู่สนทนาที่คุยกันไม่รู้จบ (แสดงว่ามีจบ) และเขาอาจจะเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณ ไม่ทางใดทางหนึ่งก็เป็นได้นะ
ภูมิวัฒน์ นุกิจ
19 กรกฎาคม 2549, อาลัยแด่ ณ วันที่มนุษย์ไร้ซึ่งความฝันและชีวิต
ชอบงานแบบนี้…. อ่านแล้วเหมือนถูกชมและด่าในเวลาเดียวกัน…. หลาย ๆ ตอนมันก็เกิดกับผมเช่นกัน แต่ผมยังไม่เคยซื้อมิตรภาพ ด้วยความฝันเลยสักทีนะ ยิ่งโตขึ้น ๆ มันก็แยกส่วนกันโดยธรรมชาติเช่นกัน ผมอยากใช้ความฝันกำหนดชีวิตอย่างที่ ภูมิวัฒน์ เขียน… ก็พยายามนะ แต่ทำไม่ได้ดีสักที หรือเพราะผมอาจจะมีหลายฝัน หลายมิตร หลายกลุ่มก็ได้
สู้ สู้ สู้ คนสู้ชีวิต
ไม่สู้สิผิด
ไม่สู้สิผิด
ชีวิตต้องสู้ ชะมดสู้ชีวิต
ความใฝ่ฝันของคนช่างฝันกำลังโบยตี คนชั่งฝัน ……..ที่หนาวและโดดเดี่ยวจากการเดินทางในโลกของความจริง แปลกนะที่โลกจริงกับโลกทางความฝันมักลงเอยกันได้ยากนัก ทั้ง ๆ ที่โลกจริงเป็นสิ่งที่ก่อเกิดความฝัน…….. มีคนมากมายเหนื่อยล้ากับการแสวงหาเส้นทางสู่ความฝัน ปีนบ่ายเดินทางแล้วเดินทางเล่าก็ยังไปไม่ถึง คงเหมือนขุมทรัพย์ที่ปลายฝัน
คุณของชีวิตคือความฝัน…. ทุกลมหายใจก็เพื่อฝัน… อยู่เพื่อฝัน…. ทุกอย่างเพื่อฝัน… .และยอมสิ้นใจ…. ได้เพื่อฝัน….. หวัง….หวัง…..และ…..หวัง…. .ฉันหวัง…แล้วคุณละ
แต่วันคือความฝัน ลมหายใจก็คือฝัน สู้ต่อไปนั้นคือฝันของเรา