Photo by Jularat Damrongviteetham

เป็นระยะเวลาร่วมสองปีที่พวกเราได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง กับการเดินทางอันคุ้นเคยอย่างเมื่อครั้งสมัยทำค่ายตอนอยู่มหาวิทยาลัย แบกเป้ โบกรถ กางเต้นท์ ปิ้งปลาหมึก นอนดูดาว และการตื่นเช้าแบบฝืนสังขารตัวเองเดินขึ้นไปยังยอดเขาเพื่อรอดูแสงแรกของปีใหม่ พร้อม ๆ กับรอดูพระอาทิตย์ตกในยามเย็น หากคิดแบบคนทั่วไป กิจกรรมประเภทนี้คงไร้ประโยชน์สิ้นดี แต่สำหรับพวกเรา มันเป็นกิจกรรมที่รอคอยและแสนจะมีความสุขกับการได้นั่งพูดคุยถึงความรู้สึก ความหวัง ความฝัน ความรักและความเป็นไปของชีวิตที่ผ่านมาของแต่ละคน ยังคงเป็นหัวข้อสำคัญของการสนทนา มิตรภาพและคืนวันเก่า ๆ เสียงหัวเราะรอบกองไฟมันสร้างแรงบันดาลใจและเติมพลังให้แก่กันในวันที่ต่างก็เหนื่อยล้ากับการทำงานมาตลอดทั้งปี

แล้วการเดินทางที่ผ่านมาเล่า ไร้ความหมายกระนั้นหรือ?

มันคงไม่ได้ไร้ความหมาย แต่ความหมายมันแสนแตกต่าง เพราะเมื่อการเจอหน้ากันทุกวันในวัยเรียน การเดินทางที่ว่า ช่างธรรมดาและคุ้นชิน แต่เมื่อเราต่างต้องแยกย้ายออกไปเดินตามทางสายฝัน การกลับมาพบกันเพียงห้วงยามสั้น ๆ จึงอิ่มไปด้วยความหมาย หลายครั้งเราอาจจะมีความสุขกับการได้อยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา ไปไหนไปกัน เหมือนประโยคบนหน้ากระดาษที่เขียนติดกันเป็นพืด แต่หากเป็นดังนั้น เราจะอ่านประโยคนั้นเข้าใจได้อย่างไร แม้หากเข้าใจ ก็อาจจะไม่ใช่ประโยคที่สวยนัก

ช่องว่าง และระยะห่างมักก่อความหมายให้กับเราโดยไม่รู้ตัว หากแต่ก็ไม่ใช่ช่องว่างที่ห่างเกินไปจนไกลสุดกู่ ที่แม้จะตะโกนเรียกกลับมาก็สายเกินไป บางทีเราอาจจะต้องปล่อยให้ใครบางคนได้เดินไปบนเส้นทางที่เขาเลือก ขณะเดียวกัน ก็ต้องขยับเข้าไปให้ใกล้เมื่อช่องว่างนั่นเริ่มห่างเกินไป

ระยะห่าง มิตรภาพระหว่างวรรค กับการกะช่องไฟให้พอดีที่จะไม่อึดอัดเกินไป หรือไกลเกินเข้าใจ อาจจะดูเหมือนง่าย แต่สุดท้ายกลับยากเหลือคะเน

จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม