“เอก… ตื่นได้แล้วลูก ตะวันจะกินสันเขาหมดแล้ว เมื่อวานเราใส่ตาข่ายใหญ่ไว้ด้วย ไป! เดี๋ยวพวกชักแอบเอาปลาเราไปหมด” เสียงของพ่อนั่นเองที่ปลุกให้ เอก ลุกจากที่นอนใช้สองมือลูกลำโขงขยี้ตา

“เช้าแล้วหรือพ่อ” เอกถาม 

“ใกล้แล้ว… ตะวันเพิ่งโผล่ได้หน่อยเดียวแต่ถ้าช้า… ได้เป็นร้อนแน่ ๆ” ทั้งสองกุลีกุจอลงจากเรือน 

“น้ำเย็นชะมัดเลยวุ้ย” เด็กชายบ่น ใช้สองมือแกะเชือกที่พันเสาตะแบกออกมา พ่อเดินบนราวไม้ไผ่ขัดซีกก้าวข้ามแคมเรือและเดินไปนั่งที่ท้ายเรือหางยาว เอกกระโดดขึ้นเกาะเรือและปีนลงไปนั่ง 

“เรียบร้อยพ่อ…”  

เอก ใช้ไม้ไผ่ดันพื้นตลิ่งและถ่อด้วยไม้พาย พงษ์ ปล่อยให้เรือของตนลอยลำไปช้าๆ เมื่อได้ระยะห่าง พงษ์ ก็ติดเครื่องเรือ เอก นั่งนิ่งแววตาจับต้องที่ผิวแผ่นน้ำ แสงแรกของวันอาบไปบนผิวระนาบงามตานั้น เกลียวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นระยะ แสงวาววับระยับระยิบดั่งดาวบนฟ้า เอก สุขใจเสมอที่ได้ลงเรือมากับพ่อทุกเช้าเช่นนี้ เอก ชอบเหลือเกินที่ได้เห็นดาวบนผิวน้ำเด็กชายเคยคิด จะมีใครบ้างไหมที่รู้ว่าดวงดาวบนฟ้ามากมายที่เห็นยามค่ำคืนนั้น ทำไมกลางวันมันไม่มี เอก อยากบอกคำเฉลยนั้น ก็เพราะว่า…พวกมันแอบพากันลงมาหลับนอนในสายน้ำเย็นๆ นี้เสียแล้ว เอก ยิ้ม

เครื่องติด… พงษ์ ไม่เร่งรีบตีโค้งเป็นวงกว้าง เอก คัดหัวเรือ เรือตั้งลำ พงษ์ เร่งความเร็วทวนกระแสน้ำขึ้นไป ภาพบ้านของ เอก ดูเล็กนิดเดียวแม่ยืนตากผ้าอ้อมของน้องสาวตัวเล็กอยู่นอกชาน เอก โบกมือให้ไหว ๆ

“พ่อตัวนี้ผมยกไม่ไหวมันใหญ่เกินไปพ่อ” เอก ว่าพยายามจับครีบปลาตัวนั้นไว้ พงษ์ เบาเครื่องหินก้อนโตถูกหย่อนลงจากเรือ เรือเอียงไหวน้อยๆ ตามน้ำไหลเพียงเคลื่อนไปมาอยู่ตรงนั้น

“จับทุ่นไว้นะลูกเดี๋ยวพ่อไปดึงขึ้นมาเอง เดี๋ยวเอกมานั่งจับคันบังคับแทนพ่อนะลูก” พงษ์ บอกลูกชาย

“ครับ”  เอก ตอบ เดินระมัดระวังอ้อมไปนั่งยังที่ของพ่อ แม้จะเป็นลูกน้ำโขงอยู่กับเรือมาตั้งแต่จำความได้ ว่ายน้ำเป็นแต่กลางลำโขงเช่นนี้ เอก ก็ไม่อยากจะทำให้อะไรผิดพลาด จากนี่ถึงฝั่งมันไกล ไกลเกินกว่าที่ เอก จะว่ายกลับไปถึงและเวลานี้ เอก ก็กลัวเสมอ แต่เรื่องนี้ เอก ก็ไม่เคยบอกกับพ่อ และพ่อก็ไม่เคยถาม

“ไอ้โจก นี่หว่า” พงษ์ยิ้มร่าใช้มือข้างหนึ่งเปิดดูที่ใต้ครีบคู่ล่าง

“โฮ้หนักห้าหกโลได้มั้งนี่ตัวเมียเสียด้วย วันนี้ได้กินหมกไข่ไอ้โจกใส่ใบยออ่อนกันละ”  พงษ์ ว่าหันมายิ้มให้ลูกชาย 

“ถึงว่า…เอกถึงยกไม่ขึ้น วันนี้ดีแฮะหมาน (โชคดี) แต่เช้าเชียว” เอก ส่งยิ้มตอบพ่อ พงษ์ ปล่อยทุ่นกระป๋องน้ำมันลงและสาวตาข่ายไปเรื่อย เก็บเอาปลาทั้งน้อยใหญ่ใส่ท้องเรือ ส่วน เอก เป็นผู้บังคับคันเครื่องแทน

เอก ขีดเส้นด้วยปากกาสีแดงที่เส้นบรรทัดถัดไป เมื่อเขียนเรียงความของตนเองจบ มองไปที่หน้าชั้นเรียน ครูยุพิณ กำลังนั่งตรวจงานอยู่ด้านหน้า แว่นหนาเตอะของคุณครูทำให้ เอก อดขำไม่ได้ทุกครั้งที่เห็น เอก คิดว่าที่จริง ครูยุพิณ ที่สอนภาษาไทยตนนั้นยังสาวอยู่แท้ ๆ น่าจะรุ่น น้าอี้ น้าสาวของตนด้วยซ้ำ แต่เธอก็ดูแก่เกินวัย แก่เกินไปเมื่อแว่นที่หนาเตอะนั้นบดบังภาพลักษณ์อันแท้จริงเอาไว้ แม้ ครูยุพิณ จะเป็นเช่นไร เอก ก็ชอบที่จะเรียนกับแก เพราะแกเป็นครูที่สอนเก่งและใจดี ครูยุพิณ สอนวิชานี้ เอก จะตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ วันหนึ่ง เอก จะเป็นครูแบบ ครูยุพิณ ที่ เอก ชอบ

“อ้าวใครเขียนเรียงความเสร็จแล้วเตรียมตัวอ่านได้แล้วนะ” เธอถามลูกศิษย์และบอกให้เด็ก ๆ ทั้งห้องเตรียมตัว

“ปราณีอ่านจบแล้ว ทีนี่ถึงคิวเธอแล้วเอกภพ” ครูยุพิณ ว่ายิ้มให้ เอก ยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ

“ครับคุณครู”  เอก ตอบ ลุกยืนกางสมุดเรียนออก มือข้างซ้ายจับกลางสันหนังสือ มือขวาประครองอีกข้าง 

“เรียงความของผม ชื่อเรื่อง เรือลอยลำต้องสายแสงแห่งรุ่งอรุณ” ถ้อยคำน้ำเสียงชัดเจน แหงนหน้ามองคุณครูและเพื่อนๆ ก้มหน้าลงอ่าน จะได้กี่คะแนนว่ะนี่ เอก คิดในใจ

“เรือ สายน้ำ หมู่ปลา ดวงดาว บ้าน พ่อและแม่รวมถึงน้องสาว สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนหนึ่งครอบครัวของผม ก่อนตะวันจะกลืนกินภูเขาลูกโต ๆ ทุกวันพ่อและผมจะออกไปกลางลำน้ำโขงที่ไหลผ่านบ้าน เราจะไปเก็บเอาปลาที่ดักตาข่ายเอาไว้ บางวันก็ได้ปลาเยอะแยะ เอามาทำปลาร้าบ้าง ปลาส้มบ้างไว้ขายบ้าง ถ้าเหลือแม่ก็จะเอาไปขายที่ตลาด พอได้เงินมาแม่ก็จะแบ่งให้ผมทีล่ะสองบาท สามบาท ห้าบาท แม่อยากให้เรารู้จักใช้เงินและประหยัด ปลาที่เราดักเอาไว้ไม่ใช่อยู่ใกล้ชายฝั่งริมชายฝั่ง แต่มันอยู่กลางสายน้ำโขง ผมบอกพ่อเสมอว่าไม่เคยนึกกลัวเลย แต่พ่อไม่รู้ ทุกวันที่ออกไปกลางลำโขงนั้นผมโกหกพ่อ เพราะความจริงแล้วผมกลัวมากและกลัวจริง ๆ เมื่อแล่นเรือออกไปถึงกลางลำน้ำ ความกลัวจะทำให้ผมเหม่อมองหาตำแหน่งของบ้าน”

เอก เงียบไป มองหน้าทุกคน เพื่อน ๆ นิ่งฟัง ครูยุพิณ ทึ่งกลับความคิดเขียนของเด็กวัยเท่านี้

“หาตำแหน่งของบ้านและมองหาแม่ แต่แม่และบ้านก็ตัวเล็กเกินไป เล็กกว่ามดจนมองไม่เห็น แม้ผมจะกลัวแต่ผมก็ยังอุ่นใจที่พ่อยังนั่งอยู่เคียงข้างเสมอ ความกลัวจะหายไปทุกครั้งที่พ่อหรือผมได้ปลาตัวใหญ่ ๆ มีใครจะตอบได้บ้างหากผมจะถาม ใครจะรู้บ้างดาวที่เรามองเห็นยามค่ำคืนนั้นทำไมกลางวันเรามองไม่เห็น วันนี้ผมจะเฉลยให้ทุกคนได้รู้” 

เอก พลิกหน้ากระดาษ ไล่สายตาหาตำแหน่งของประโยคแรกในหน้าใหม่ เพื่อนบางคนงง

“เรือของผมและพ่อเมื่อแล่นออกจากฝั่ง หันหน้าสู่ทิศตะวันออก ขณะที่ดวงตะวันกำลังกลืนกินสันเขาบนฝั่งอีกฟาก พ่อหย่อนสมอหินลงน้ำ เรือโคลงเคลงไหวน้อยๆแสงอรุณอุ่น ๆ จะโอบกอดเรา ดวงดาวจะพราวไปหมด บนผิวหน้าน้ำนั้น บางครั้งผมเคยคิดว่าดาวที่พราวไหวเต้นไม่หยุดนี้งดงามกว่าดาวบนฟ้าเสียอีก ครั้งหนึ่งผมเคยบอกพ่อว่า ‘พ่อ…ผมจะเก็บเอาดาวบนน้ำไปให้แม่ร้อยมาลัยเอาไปถวายพระ’ พ่อหัวเราะและบอกว่า มันไม่ใช่ดาวและเก็บไม่ได้ วันนั้นทั้งวัน เรื่องผมจะเก็บดาวไปฝากแม่กลายเป็นเรื่องขำขันของพ่อและใครอีกหลายคน แต่พ่อหารู้ไม่ว่า จากวันนั้นผมไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดและเรื่องอะไรที่คิดเอาไว้และฝันไว้ในใจออกมาให้พ่อรับรู้อีกเลย เพราะกลัวว่าพ่อจะหัวเราะให้อีกเหมือนตอนที่เรือของเราจอดลอยลำต้องแสงอาทิตย์ในวันนั้น ผมอยากบอกพ่อเหลือเกินว่า ดาวมากมายทั้งบนฟ้าและบนผิวแผ่นน้ำทั้งโลก ไม่สำคัญเท่าหากพ่อจะไม่หัวเราะกับความรู้สึกของผม”

เด็กชายเอกภพ โขงเข้ม
ป.6/2 ห้องครูยุพิณ

พงษ์ อ่านเรียงความของลูกชายจนจบบรรทัดสุดท้าย รู้สึกหน้าร้อนผ่าว มือไม้สั่น ปิดสมุดเล่มนั้นลงเอาเข้ามากอด เขาไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดบางคำจะทำลายความรู้สึกของลูกถึงเพียงนี้ เขาเหม่อมองไกลออกไปยังสายน้ำโขงที่หล่อเลี้ยงชีวิตตนมานานเพียงใดที่เขาไม่มีโอกาสรู้ความรู้สึกของลูกชายตัวเล็ก นานเท่าไรที่ เอก เก็บความน้อยเนื้อต่ำใจนี้ไว้ลำพัง เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของเขาจะเข้มแข็งเก็บความรู้สึกที่พ่อทำลายเอาไว้คนเดียวเงียบ ๆ พงษ์ ลุกจากชานไม้หน้าบ้าน ละสายตาจากสายน้ำสีเข้มเดินเข้าบ้าน เสียงฝีเท้าเดินไปถึงตีนมุ้ง

“อิ่ม ลูกหลับยัง”

“หลับแล้วพี่ทั้งคู่”

“แกเอานี่ไปอ่านไป… พี่ขอเข้าไปนอนก่อนนะ”  
พงษ์ มุดเข้ามุ้ง ก้มลงที่ข้างหูลูกชาย

“เอกพรุ่งนี้ก่อนตะวันจะกินสันเขา พ่อจะพาเอกไปเก็บดาวมาให้แม่ร้อยมาลัยนะลูก เก็บให้หมดทั้งลำโขงเลย”  ฝีเท้าของพ่อที่เดินมาจากชานทำให้ เอก รู้ตัว เขาได้ยินเสียงของพ่อ มันดังก้องทั้งสองหู เอก แอบยิ้ม หลับตา หัวใจพองโต – หาก เอก ยินดีดาวที่จะเอามาฝากแม่ แค่ดวงเดียวก็มากพอ…

วันต่อไปหากมีวิชาภาษาไทยของ ครูยุพิณ เขาจะเขียนเรียงความ เรื่อง “เก็บดาวตอนเช้าเอาไปฝากแม่” อ่านให้เพื่อน ๆ ฟัง

ก่อคเณศ รุ้งสันเทียะ
ณ ริมเขื่อนขอบโขงทะเลฝัน @นครพนม