ตลอดเดือนมิถุนายน (2545) ที่ผ่านมา ความเป็นไปในส่วนต่างๆของโลกเหมือนจะหยุดการเคลื่อนไหวของตน แล้วเปิดทางให้กับการมาถึงของ “ฟุตบอลโลก (World Cup 2002)” ตัวผมเองก็เช่นกัน การจัดสรร “ส่วนผสม” ของชีวิตในช่วงนั้นนับได้ว่าวุ่นวายไม่ใช่น้อย เพราะ “ผู้มาใหม่” เรียกร้อง “อาณาเขต” ค่อนข้างมาก นั่นหมายความถึงผลกระทบที่ย่อมต้องเกิดขึ้นกับ “พื้นที่” ของผู้อยู่เดิม หนึ่งในผู้เสียหายจากกรณีนี้ก็คือ “การดูหนัง” ของผม เรียกได้ว่าผมแทบจะไม่ได้ดูหนังซักเรื่องเลยในช่วงมหกรรมฟุตบอล
นั่นเป็นเหตุให้ผมต้องงดเขียนเรื่องราวของหนังในฉบับนี้ และเลือกที่จะพูดถึงเรื่องของฟุตบอลโลกแทน ผมเชื่อว่าหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันมากที่สุดเรื่องหนึ่ง จากการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ ก็คือ การแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของทีมโนเนมอย่าง เซเนกัล (Senegal) เริ่มตั้งแต่การพลิกล็อกเอาชนะ ฝรั่งเศส แชมป์โลกและแชมป์ยุโรปทีมล่าสุด ในนัดเปิดสนาม และฝ่าฟันเข้าไปถึงรอบเซมิไฟนั่ลได้สำเร็จ
ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ชมการแข่งขันนัดนั้น คงจะรู้สึกอึ้งเหมือนกับผม เมื่อได้เห็นความพ่ายแพ้ของแชมป์โลก ต่อคู่แข่งที่ชื่อชั้นต่ำกว่ากันชนิดเทียบไม่ได้
เมื่อการแข่งขันจบลง มีหลายเสียงที่ดังขึ้นมาว่า เป็นเพราะมาตรฐานของนักฟุตบอลจากกาฬทวีปสูงขึ้น ผมเองไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะถ้าดูจากประวัติกันจริง ๆ แล้ว นักเตะระดับดาราในทีมชาติฝรั่งเศสชุดนี้เอง ก็มีหลายคนที่มีเชื้อสายแอฟริกัน เพียงแต่ประเทศแม่ของพวกเขาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เขาจึงมีสิทธิ์ได้เลือกใช้สัญชาติฝรั่งเศส อย่างเช่น มาร์กแซล เดอไซญี่ (Marcel Desailly) หรือกระทั่ง ปาทริค วิเอร่า (Patrick Vieira) ก็เกิดและใช้ชีวิตวัยเด็กในประเทศเซเนกัล !!!
ปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับทีมชาติฮอลแลนด์เช่นกัน ในกรณีของนักเตะดาวดังอย่าง รุด กุลลิท (Ruud Gullit) และ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ (Jimmy Floyd Hasselbaink) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นผลมาจากลัทธิล่าอาณานิคมในอดีต โดยประเทศมหาอำนาจในขณะนั้นอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และ ฮอลันดา (ฮอลแลนด์ ในปัจจุบัน) อาศัยอำนาจทางทหารยึดครองเอกราชและแย่งชิงทรัพยากรของชนชาติที่ด้อยกว่ามาเป็นของตน
ในอดีตนั้น ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ไทย ทรงนำพาประเทศไทยรอดพ้นเงื้อมือของประเทศมหาอำนาจเหล่านั้นมาได้ จนถึงปัจจุบันนี้ ความคิดที่ต้องการครอบครองประเทศอื่นก็ยังคงอยู่ เพียงรูปแบบวิธีการนั้นแยบยลขึ้น จากที่เคยข่มขู่บีบบังคับด้วยอำนาจทางทหาร ด้วยแนวทาง “Colonization” ก็หันมาหลอกล่อให้หลงกลด้วยอำนาจของสื่อและกลวิธีทางการตลาด ด้วยวิถีทาง “Globalization”
ในปัจจุบัน ทุกประเทศทั่วโลกกำลังถูกรุกรานจาก “กองทัพวัฒนธรรมส่งออก” โดยการนำของแม่ทัพอย่าง Hollywood , MTV , Coca-Cola , McDonald ฯลฯ ผมมีเพื่อนหลายคน ที่พยายามดิ้นรนไขว่คว้าหาโอกาสที่จะไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ เริ่มจากไปเรียนหนังสือ จบแล้วก็หางานทำที่นั่น หลายคนไม่คิดที่จะกลับมาเมืองไทยอีก เพราะมีการบอกเล่าอย่างครึกโครมต่อเนื่องผ่านสื่อต่างๆอยู่ทุกวันว่า วิถีชีวิตแบบตะวันตกนั้นมีอิสระเสรี เป็นดินแดนที่โอกาสเปิดกว้างให้กับทุกคนที่มีความสามารถ เป็นประเทศที่มีสวัสดิภาพทางสังคมดีเยื่ยม อีกทั้งเราก็มีความคุ้นเคยกัย Life Style ของเขาทุกอย่าง ทั้งอาหารที่เขากิน เครื่องดื่มที่เขาดื่ม หนังที่เขาดู เพลงที่เขาฟัง เช่นนี้แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากต่อการตัดสินใจ ในการเลือกที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ เพราะดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจที่มีแต่ “ได้” อย่างเดียว
นี่คือ “กรอบ” ที่ถูกกำหนดขึ้นมาโดยมหาอำนาจยุคปัจจุบันคือ อเมริกา (ซึ่งแทบจะมีสถานะเป็น “เมืองหลวง” ของโลกอยู่แล้ว) แล้วใช้กลยุทธทางการตลาดเผยแพร่วัฒนธรรมและ Life Style ของตนให้กลายเป็น “วัฒนธรรมและ Life Style สากล” ของคนทั้งโลก (นับเป็นวิธีการช่วงชิงทรัพยากร (บุคคล) ที่ดีที่สุดของแต่ละประเทศมาไว้กับตัวเองได้อย่างสง่างาม ยังไม่รวมถึงการทำงานของ “หน่วยใต้ดิน” ที่ดำเนินยุทธวิธี “กองโจร” (อย่างกรณีที่เกิดขึ้นกับข้าวหอมมะลิของไทย) ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมท้องถิ่นก็กลายเป็น “ของสูง” ที่ไม่มีใครแตะต้อง นอกจากมีเอาไว้ “ขาย” นักท่องเทื่ยวเท่านั้น
ดูเหมือนว่าเราทุกคนกำลังวิ่งไปตามทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว โดยไม่มี “ทางแยก” หรือ “จุดกลับตัว” ให้เลือกใช้ เราทุกคนรู้สึกเคยชินและสะดวกสบายกับวิถีชีวิตแบบนี้ คงไม่มีใครคิดที่จะปิดประเทศแล้วกลับไปใช้ชีวิตในค่ำคืนที่มีเพียงแสงตะเกียง มีสายลมเป็นเครื่องปรับอากาศ มีควายเทียมเกวียนเป็นยานพาหนะ แต่แล้วผลงานของนักเตะทีมชาติเซเนกัลชุดนี้ก็ได้จุดประกายความคิดบางอย่างให้กับผม
นักเตะของทีมชาติเซเนกัลชุดนี้ เกือบทั้งหมดออกไปค้าแข้งอยู่กับสโมสรในดิวิชั่นหนึ่งของฝรั่งเศส นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาคุ้นเคย และเข้าใจสไตล์การเล่นของนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสเป็นอย่างดี (จนบางคนให้ทรรศนะไว้ก่อนการแข่งขันว่า นี่เป็นการพบกันระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสชุดเอ กับ ทีมชาติฝรั่งเศสชุดบี) ผมคิดว่านี่เป็นสาเหตุสำคัญของชัยชนะในนัดนี้ของพวกเขา
ในเมื่อเราไม่สามารถเปลื่อนแปลงกฎกติกาที่ใช้อยู่ให้มันเป็นกลางยิ่งขึ้นได้ เราก็ควรไปศึกษารูปแบบวิธีการของพวกเขา ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อจะได้รู้เท่าทันกลยุทธของคู่ต่อสู้ แล้วมาวิเคราะห์หาทาง “ป้องกัน” ตัวเอง หรือกระทั่ง “ตอบโต้” ให้อีกฝ่ายได้รับบทลงโทษที่สาสมกับสิ่งที่ตัวเองทำไว้
ม้าก้านกล้วย