วันที่ 26 ธันวาคม 2547 เวลา 04.30 น. ออกเดินทางไปเที่ยวที่ เกาะเสม็ด ความรู้สึกดี หาดทรายขาว น้ำทะเลใส สวยงาม มีความสุขกับการเล่นน้ำมาก แต่ความสุข และ สนุกนั้น ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อได้รู้ว่าประเทศไทย ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น น้ำทะเลเริ่มไม่ใส เริ่มไม่สวยงาม และเดินทางถึง กทม. ได้ทราบข่าว ว่าเกิดแผ่นดินไหวและ คลื่นยักษ์สึนามิ กับภาคใต้ของไทยและประเทศใกล้เคียง “จากความสนุก กลายเป็นความสลด” คนตายมาก และทางใต้ต้องการความช่วยเหลืออย่างมากโดยด่วน เมื่อได้ยินแล้วก็อยากไปช่วยเค้า ทำอะไรก็ได้เพื่อพี่น้องทางภาคใต้ เราเองก็ไม่ได้ทำอะไรว่างอยู่แล้ว แม้ว่าจะเป็นแค่ 1 แรงงานเท่านั้น เราก็ช่วยเค้าได้ ไม่มากก็น้อย คนไทยไม่ช่วยกันเองจะรอให้ใครที่ไหนมาช่วย เริ่มคิดว่าเราจะช่วยเค้าอย่างไรดี รวบรวมอาสาสมัครที่มีความตั้งใจแบบเราได้ 6 คน มากเกินพอที่จะไปช่วยเค้าได้ ออกเดินทางกันเลยทิ้งความสุขช่วงปีใหม่ไปช่วยเค้าดีกว่า ใช้เวลาเดินทางสู่พังงาประมาณ 12 ชั่วโมง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปช่วยอะไรเค้า

ทีแรกเราจะเอาของที่เราได้รับบริจาคไปให้เค้าก็เลยไปที่อำเภอ แต่คนเยอะมาก เราคิดว่าไม่สะดวก ก็เลยออกจากอำเภอไปอีกที่ กศน. เป็นที่เค้านำของมาบริจาค เราจึงมาบริจาคที่นี่แล้วก็ออกไปหาอะไรได้ทำเป็นชิ้นเป็นอันเสียที ขับรถตระเวนหาเราเห็นโลงศพ กองอยู่จำนวนมากเราก็เข้าไปเผื่อเราจะช่วยอะไรเค้าได้ พอเข้าไปเค้าก็เรียกกินข้าวเลย พอกินเสร็จเราก็ถามว่าเราจะต่อโลงศพได้ไหม เค้าบอกว่าไม่ต้องการแล้ว เค้าให้ไปดูที่ บ้านน้ำเค็ม เราก็ไปที่บ้านน้ำเค็ม

พอไปถึง สภาพที่เห็นทุกอย่างพังหมด ไม่เหลือสภาพความเป็นบ้านเลย ผู้คนพลุกพล่าน เต็มไปด้วย คนทำงาน พวกกู้ภัย คนที่นำของไปบริจาค คนที่อยากเห็น รวมไปถึงคนที่อยากไปช่วยแบบเรา เราได้คุยกับหน่วยกู้ภัยคนหนึ่ง เราถามเค้าว่าเราเป็นนักศึกษาอยากจะช่วย มีอะไรให้เราช่วยได้ไหม พี่เค้าบอกว่ามีแต่หาศพ บนฝั่งนี้คงไม่มีแล้ว ถ้าอยากช่วยก็ที่ป่าโกงกาง มีศพอีกเยอะ แต่เราก็ต้องออกมาจากตรงนั้น เพราะว่าเราช่วยอะไรเค้าไม่ได้ เกะกะเค้าด้วย แวะเข้าไปที่ที่มีคนเดินพลุกพล่าน มีคนแต่งกายเหมือนคนเชือดไก่ แต่พวกเค้าเป็นแพทย์อาสามาทำงานเกี่ยวกับศพ

เราได้ออกจากที่ตรงนั้นแล้วกลับไปที่เดิม ตั้งหลักกันว่าจะไปทำอะไรดี สรุปได้ว่าเราไปช่วยเค้าแยกของที่เราไปบริจาคดีกว่า เอาของที่เค้ามาบริจาคแยกเป็นหมวดหมู่ พวกนักศึกษาของ ม.มหานคร ทำอยู่ก่อนแล้ว ทีแรกนึกว่างานไม่หนักเพราะว่าแค่รถกระบะ ช่วยกันคนละถุงก็หมด ต่อมาเป็นเป็นรถ 6 ล้อของเริ่มเยอะแล้ว แต่ก็ไม่เท่าไร พอมารถ 10 ล้อ เริ่มเหนื่อยแล้วของเริ่มเยอะ สุดท้ายมาอีก 3 รถพ่วง เยอะมาก ๆ เราช่วยกันเอาของลงคันแรก เราเริ่มเหนื่อยแล้ว เราเลยขอตัวกลับไปพักผ่อน

วันต่อมาเราได้เดินทางไปสำรวจความเสียหายที่ เกาะพระทอง โดยทางเรือ ประมาณ 30 นาที พอเราขึ้นฝั่งรู้สึกแปลกใจ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นบนเกาะนี้เลย รู้ที่หลักว่าตรงนี้เป็นหลังเกาะ ไม่โดนอะไรเลย นั่งรถไปอีกฝั่ง ซึ่งเป็นฝั่งที่เกิดเหตุ ระหว่างทางไม่เห็นความผิดปรกติอะไร สักพักเริ่มเห็นต้นไม้ตายบ้าง หญ้าตายบ้าง มีปลาตายบ้าง ทีแรกยังไม่เยอะ ต่อไปเห็นปลานอนตายเยอะมาก ๆ ซึ่งห่างจากทะเล เป็นกิโลเลย พอเริ่มเข้าใกล้หาดเริ่มเห็นการพังทลายของต้นไม้ สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ พอลงรถเดินไป เจอสภาพบ้านที่ไม่เหมือนบ้านเลย เค้าว่าเป็นบ้านของคนชื่อ น้อย เป็นประธานกลุ่มเพาะพันธุ์กล้วยไม้หายาก และก็รู้ว่าเค้าได้ตายพร้อมกับพ่อเค้าด้วย เดินผ่านไปเรื่อย ๆ รอบ ๆ มีแต่ซากต้นไม้ที่ถูกน้ำพัด เราเดินไปจนถึงหาดทราย หาดทรายเต็มเป็นไปด้วยซากความเสียหาย ที่เหลือจากการทำลายของน้ำทะเล เราได้อาลัยอยู่ครู่นึง ก็เดินทางจะไปอีกหมู่บ้าน ที่ได้รับความเสียหายเหมือนกันแต่เวลาไม่เอื้ออำนวย เราเดินทางกลับ พอนั่งเรือกลับมาที่ฝั่งน้ำได้ลงแล้ว เรือไม่สามารถเค้าถึงที่เราลงมาตอนแรก เราต้องเดินลุยน้ำระยะทางเกือบกิโลได้ 2 ข้างทางมีแต่ป่าโกงกาง ข้างบนมีแต่ความมืด

จากการที่เราไปมาในครั้งนี้เราได้รู้ว่าคนไทยเรามีน้ำใจมาก มาช่วยไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่มากมาย หรือจะเป็นแรงงานต่างๆ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน และเชื่อว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่คิดมาช่วย

เอ็ม
4 มกราคม 2548