
กิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนและนักพัฒนา
วันที่ 13-15 สิงหาคม 2547
โครงการพัฒนาระบบนิเวศเกษตรและอนุรักษ์พันธุ์พืช – บ้านห้วยหินดำ อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี
วิทยากร
พยงค์ ศรีทอง (รัฐศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, นักพัฒนาดีเด่นสาขาพัฒนาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จากสโมสรโรตาลี่ป่าเลไลย์ 2542, รางวัลลูกโลกสีเขียวประเภทบุคคลดีเด่น 2542
ประเด็นที่ได้ศึกษา
- เกษตรกรรมทางเลือก ความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์ องค์ความรู้ด้านการพัฒนาของวิทยากร
- ความเข็มแข็งของชุมชน (กลุ่มแม่บ้านทอผ้า, กลุ่มชาวบ้านดูแลป่าชุมชน)
- ผลกระทบชุมชนจากโครงการพัฒนาราชดำริ (บ้านป่าคู้)
โครงการพัฒนาระบบนิเวศเกษตรและอนุรักษ์พันธุ์พืช (Project for Agroecology Development and Plant Genetic Resources Conservation : AGRECO/PGRC) เป็นโครงการขนาดเล็กที่เริ่มกิจกรรมการอนุรักษ์และการพัฒนาในชุมชนกะเหรี่ยงในภาคกลาง มาตั้งแต่ปี 2535 โดยขณะนั้นโครงการอยู่ภายใต้ร่มของศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสังคม จ.สุพรรณบุรี อย่างไรก็ตาม โครงการได้แยกการบริหารออกเป็นอิสระนับแต่ปี 2538 เป็นต้นมา
โครงการมีเป้าหมายระยะยาวอยู่ที่การแสวงหาและพัฒนาองค์ความรู้ อันจำเป็นต่อการปรับปรุงคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชนเกษตรกรรม อันเป็นรากฐานที่สำคัญของประเทศไทย ให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และอยู่ร่วมกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สมดุล
สำนักงานโครงการตั้งอยู่ที่ บ้านห้วยหินดำ ม. 6 ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และมีพื้นที่ทำงานในชุมชนชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง และเกษตรกรไทย ในบริเวณป่ารอยต่อของ 3 จังหวัด คือ อ.ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ปัจจุบันกิจกรรมอันเป็นภาระกิจหลักซึ่งจะนำสู่เป้าหมายของโครงการประกอบด้วย
- การพัฒนาระบบเกษตรนิเวศ (Development of Ecological Agriculture) ระบบเกษตรนิเวศ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่การเสริมความมั่นคงให้กับเกษตรกรในระบบเกษตรกรรมแบบพื้นบ้าน เช่น การทำไร่หมุนเวียน โดยการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ควบคู่กับการสร้างรายได้ที่เป็นตัวเงิน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โครงการให้ความสำคัญกับการทำการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร และองค์ความรู้ที่จะนำสู่การรักษา ความมั่นคง (stability) และ ผลิตภาพ (productivity) ของระบบเกษตรกรรมพื้นบ้าน เช่น การทดลองเกี่ยวกับพืชคลุมบำรุงดิน วนเกษตร การปรับปรุงดินและการจัดการศัตรูพืชแบบอินทรีย์ กิจกรรมนี้เคยได้รับการสนับสนุนเบื้องต้นจาก The Canada Fund ในนามโครงการย่อย Sustainable Agriculture and Food Security for Karen Villagers ซึ่งส่งผลให้เกิดวิทยากรเกษตรกรในเรื่องเกษตรอินทรีย์จำนวน 10 ราย และเกิดองค์กรเกษตรกร ซึ่งได้รับรางวัลผู้ผลิตสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมดีเด่น จากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก ปี 2544 อีกด้วย
- การอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมพืช (Conservation of Plant Genetic Resources) พันธุ์พืช เป็นทรัพยากรที่สำคัญของการผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในระบบการผลิตที่ต้องการนำสู่ความมั่นคงและการพึ่งตนเองของเกษตรกร ดังนั้นโครงการจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาและรวบรวมพันธุกรรมพืชพื้นบ้าน หลายชนิดทั้งเพื่อนำไปใช้ในการผลิตในปัจจุบัน และการป้องกันการสูญพันธุ์ในระยะยาว โดยโครงการส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรพันธุกรรมเหล่านี้ เช่น โครงการ Collection and Enhancement of Tropical Fruit Germplasm สนับสนุนโดย AusAID เป็นต้นนอกจากนี้แล้ว โครงการยังร่วมมือกับ ศูนย์ฝึกอบรมวนศาสตร์ชุมชนฯ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานป่าไม้เขตบ้านโป่ง ในการสนับสนุนองค์กรชาวบ้านในการจัดการป่าไม้และการอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ ในรูปของป่าชุมชน ที่บ้านห้วยหินดำ อ. ด่านช้าง จ. สุพรรณบุรี ซึ่งต่อมาได้มีการเชื่อมร้อยหลายชุมชนเข้าด้วยกัน และพัฒนาเป็นเครือข่ายชาวบ้านที่ร่วมกันดูแลรักษาป่า
- การวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวกะเหรี่ยง (Research of Karen Indigenous Knowledge) โครงการได้ทำการสำรวจ และการบันทึกองค์ความรู้ดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงโปเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการสูญหาย และเพื่อใช้เป็นฐานสำหรับการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นในปัจจุบัน ลักษณะสำคัญของการวิจัยคือ การวิจัยโดยการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน (Participatory Action Research) ทั้งการดำเนินการโดยนักวิจัยของโครงการเอง และ การประสานงานกับนักวิจัยภายนอกให้เข้ามาทำงานวิจัยร่วมกับชุมชน หัวข้อวิจัยที่ผ่านมา เช่น การศึกษาพฤกษศาสตร์พื้นบ้านเกี่ยวกับพืชให้สีของชาวกะเหรี่ยง การฟื้นฟูและพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับพืชให้สี ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Biodiversity Research and Training Program (BRT) เป็นต้น
โครงการดังกล่าว ได้นำสู่การสร้างพลังความเข้มแข็งให้กับสตรีกะเหรี่ยง ให้มีความเชื่อมั่นในภูมิปัญญาและความสามารถของตนเอง มีเสียงมีบทบาทในครัวเรือนและกิจการของ ชุมชนมากขึ้น ซึ่งต่อมาเกิดการเชื่อมโยงสตรีในหลายหมู่บ้านเข้าด้วยกัน และถักทอเป็นเครือข่าย ที่ดำเนินกิจกรรมการผลิตที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่สมถะ ภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติของท้องถิ่นอย่างกลมกลืน


Photo by Manoch Methiyanon

Photo by Manoch Methiyanon
บันทึกชาวค่ายฯ : ในน้ำมีควาย
ในวันศุกร์ (13 ส.ค. 2547) เกือบไม่ได้ไป เพราะยังเคลียร์งานไม่เสร็จ แต่ที่ค่ายฯ ก็ยังรออยู่ อาจเป็นเพราะคนยังมาไม่ครบ สมาชิกใหม่เยอะมาก ตั้ง 1 คนแหนะ ก็น่ารักดี (อัธยาศัยนะ)
พอครบแล้วก็ขึ้นรถกัน ออกเดินทางทันที ตอนนั้นก็ประมาณ 22.30 น. ได้มั้ง และก็จำไม่ได้หรอกว่ามาถึงด่านช้างตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะก่อนจะถึงก็หลับมาในรถ พอมาถึงทำอะไรนิดหน่อยก็หลับเลย (ทำไงได้ล่ะ ตั้งแต่วันแม่ยังไม่ได้นอนเลยนิ)
ตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ ไม่ได้เข้าแถวเคารพธงชาติเลย ก็ไม่ใช่โรงเรียนนี่น่า มันก็เลยไม่มีเสาธง ทานข้าวเช้าอร่อยมาก พี่เจน แฟนพี่พยงค์เจ้าของสถานที่เป็นคนทำให้กิน กินไปฟังเสียงไอ้สาไป พูดตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไม่ยอมหยุดเลย มันหายใจทางไหนไม่รู้
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยก็เป็นการนั่งคุยอย่างเป็นทางการ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน และให้พี่พยงค์อธิบายถึงสถานที่แถวนี้ให้ฟัง เล่าถึงปัญหาที่ชาวบ้านบริเวณนี้กำลังประสบ ก็มีทั้งได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง เพราะแอบนั่งหลับซะงั้น มันเพลียน่ะ ไม่ไหวจริงๆ ขนาดหลับอย่างนั้นยังมีคนเห็นอีกนะ ก็จะไม่ให้เห็นได้ไงละ นั่งล้อมวงเป็นวงกลมใกล้กันมาก แทบจะเรียกได้ว่าเห็นสิวบนใบหน้าของแต่ละคนได้เลย ก็คนมันน้อยนี่ วงเลยไม่ใหญ่ (แอบได้ยินเสียงท้องร้องของไอ้เด็กใหม่ด้วยแหละ ท่าทางมันจะหิว)
ประมาณบ่าย 3 เห็นจะได้ พวกเราก็ออกไปดู ‘อ่างเก็บควาย’ ในโครงการพระราชดำริ งงล่ะสิ ว่าอ่างเก็บควายมีที่ไหน มันก็คืออ่างเก็บน้ำนั่นแหละ แต่ไปดูแล้วเห็นมีแต่ควายเล็มหญ้า 10 กว่าตัว ก่อนจะมาเป็นอ่างเก็บน้ำที่ตรงนั้นเป็นหมู่บ้านมาก่อน แต่ตอนนี้ย้ายมาอยู่ในที่ดินที่ทางราชการจัดสรรให้ เป็นที่ดินปลูกบ้าน 1 ไร่ ที่ดินทำกิน ครอบครัวเล็ก 8 ไร่ ครอบครัวใหญ่ประมาณ 14 ไร่ แต่ปรากฏว่าถึงเวลาให้แค่ที่ดินแล้วครอบครัวละ 1 ไร่ ส่วนที่ดินทำกินจะจัดสรรให้อีกทีใน 80 ชั่วโคตร ถ้าที่อ่างมันมีน้ำท่วมที่ดินอยู่ล่ะก็ เอาจอบมาขุดเขื่อนชั่วโคตรเดียวก็ได้ที่ดินคืนกลับมาแล้วครับ (เหมือนยายไฮไง)
แล้วเราก็อพยพความเอือมระอา มาเยี่ยมชาวบ้านที่ย้ายถิ่นฐานมา ดูความเป็นอยู่ของพวกเขาว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง ลำบากมากครับ ไม่ต้องรอผมบอกหรอกว่าลำบากแค่ไหน ถ้าใครมีโอกาสก็ถ่อสังขารมาดูกันดีกว่า จะรู้มากกว่าที่ผมอธิบายด้วยลายลักษณ์อักษรเป็นเล่ม ๆ ซะอีก มันไม่ไกลหรอก ใกล้ ๆ กรุงเทพฯ นี่แหละ แค่สุพรรณบุรีเองครับ
แด่ ชาวบ้านนับร้อยที่เสียที่ดินไป
แด่ ยายไฮ คนขุดเขื่อน
แด่ ความป่าเถื่อนในความคิดใครบางคน
บันทึกชาวค่ายฯ : บันทึกชาวค่ายฯ : บันทึกการเดินทาง… จากน้ำตาล
การมาดูงานกับ ค่ายอาสาพัฒนาชนบท ในวันที่ 13-15 สิงหาคม 2547 นี้ ได้ทำให้ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ในวันแรกเราทุกคนต้องมาเจอกันที่เอแบคหัวหมากก่อน เพื่อมานั่งรถตู้ไปที่ จ.สุพรรณบุรี ด้วยกัน การไปครั้งนี้เป็นการไปดูงานของพวกรุ่นพี่รุ่นก่อนๆ แต่เราเป็นเด็กใหม่คนเดียวที่มาร่วมทำกิจกรรมและก็เพิ่งเข้ามาในชมรมนี้เป็นครั้งแรกด้วย ตอนแรกที่มาถึงหัวหมากเราตั้งใจว่าจะไปกับเพื่อนสนิทคนนึงที่ชื่อ ปิ๊ก แต่ไป ๆ มา ๆ กลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ปิ๊กไม่ได้ไปด้วยกัน บรรยากาศที่ต้องมาเจอคนที่ไม่รู้จักกันเลยและต้องไปอยู่ด้วยกัน 3 วัน 2 คืนมันน่ากลัวมากสำหรับคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างเรา จะว่าถ้าคิดจะเปลี่ยนใจก็คงจะไม่ทันแล้ว ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วก็ลองไปดูว่าจะเป็นยังไง เรานัดเจอกับพี่คนนึงที่ชื่อฮวงแล้วเค้าก็จะพาเราไปพบกับคนในกลุ่มอาสาพัฒนาชนบท
พอเราได้เจอกันกับพี่ฮวงแล้วก็มาเจอพี่ ๆ อีกบางส่วนก็คือ พี่แนน แล้วก็ พี่ต้อม ด้วย เรานั่งแท็กซี่ไปเจอพี่ๆ ที่เหลือที่นั่งทานข้าวกันอยู่แถว ๆ เอแบคหัวหมาก ตอนที่เราไปเจอพี่ ๆ ที่เหลือเราเริ่มรู้สึกว่าไม่อยากไปแล้ว ทำไมแต่ละคนหน้าตาเป็นอย่างนี้ล่ะ น่ากลัว ดูดุๆด้วย ทุกคน ไม่ได้เนียบเหมือนที่เราคิดไว้เลยซักนิด ต่างกับที่เราคิดไว้โดยสิ้นเชิง หน้าตาแต่ละคนบอกบุญไม่รับกันทั้งนั้น แล้วเราต้องไปอยู่กับพี่พวกนี้เนี่ยะนะ ฮื้อฮือ!!! ในกลุ่มที่เราจะไปต่างจังหวัดกันนั้นมีผู้หญิงทั้งหมด 4 คนรวมเราด้วย นอกนั้นก็เป็นผู้ชายหมดเลย ประมาณ 5 คนได้ พี่ผู้หญิงก็มี พี่ฮวง พี่แนน พี่สา แล้วส่วนพี่ผู้ชายก็มี พี่นก พี่เอ พี่ตั้ม พี่ต้อม พี่หนึ่ง ถ้ารวมคนขับรถด้วยก็ 10 คนพอดีเลย แรก ๆ เราก็ไม่กล้าคุยกับใครเลยเพราะเป็นรุ่นพี่ทั้งนั้นแล้วส่วนมากก็เป็นผู้ชายด้วย
ก็อย่างที่บอกแหละว่าหน้าแต่ละคนไม่รับบุญกันเลยแล้วจะให้เราไปคุยกับใครล่ะ พอนั่งกินลาบส้มตำกับเสร็จแล้วก็ออกเดินทางกัน เริ่มออกจากกรุงเทพฯก็ประมาณ 21.30น. ได้มั้ง ขับรถตู้ไป การเดินทางไปแค่ จ.สุพรรณบุรีทำไมมันนานจังก็ไม่รู้ กว่าจะมาถึงที่ จ.สุพรรณบุรี ก็เกือบตีสองได้ ตอนที่มาถึงแล้วเราก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน จะนอนก็ไม่กล้านอน เรายังรู้สึกเกร็ง ๆ อยู่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับใครดี แต่ก็คอยมีพวกพี่ ๆ ทุกคนดูแลและก็พยายามชวนเราคุยอยู่เรื่อย ๆ ตอนที่นอนคืนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร แต่ซักพักก็มีเสียงอะไรซักอย่างที่ฟังแล้วขนลุกจัง ร้องก็ดัง ถามพวกพี่ๆ เค้า พี่เค้าบอกว่าเป็นเสียงตุ๊กแก ตุ๊กแกบ้านนอกนี่มันกินอะไรเข้าไปก็ไม่รู้ปอดใหญ่จัง ร้องดังกว่าควายบางตัวอีก!!
พอวันรุ่งเช้าเราก็อาบน้ำแล้วก็มาทานข้าวเช้ากับพวกพี่ ๆ น้ำที่นี่เย็นมาก แทบที่เรียกว่าสะดุ้งเลยแหละ ถึงว่าไม่ค่อยมีใครเค้าอาบน้ำกันเลย เฉยกันทุกคน น้ำที่เราอาบมันแปลกกว่าที่กรุงเทพฯมากเพราะว่าที่นี่จะเป็นตุ่มแล้วก็ใช้ขันตักอาบเอา ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯ ก็คงมีฝักบัวแล้วก็มีน้ำอุ่นด้วย ตอนที่เราได้มากินข้าวกับพวกพี่เรารู้สึกว่าพี่ ๆ ทุกคนเริ่มจะคุยกับเรามากขึ้นแล้วก็คอยทำให้เราสนุกสนานและก็ไม่กลัวด้วย
วันนี้หลังจากที่พวกเรากินข้าวกันเสร็จก็ได้มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องปัญหาของที่นี่และก็พูดคุยว่าเราสามารถช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง เราได้มาคุยกับคุณพยงค์และก็แฟนของเขา ได้รู้ถึงปัญหาว่าชาวบ้านที่นี่ขาดแคลนข้าวมากว่าอย่างอื่น ครั้งแรกค่ายของเราตั้งใจจะมาสร้างโรงเรียนหรือพัฒนาชนบทตามวัตถุประสงค์ของค่าย
แต่เมื่อเราได้มาพูดคุยและเห็นถึงปัญหาของที่นี่ว่าโรงเรียนหรือสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็มีอยู่แล้ว ถ้าเราไปสร้างเพิ่มขึ้นก็คงใช้ประโยชน์ได้ไม่คุ้มค่าเท่าไร คุณพยงค์ได้เสนอความคิดเห็นว่าถ้าอย่างนั้นเรามาช่วยกันแก้ปัญหาโดยการทำธนาคารข้าวกันดีไหม การพัฒนาไม่จำเป็นต้องเป็นโรงเรียนหรือสิ่งก่อสร้างเสมอไปก็ได้ เราควรมุ่งประเด็นไปถึงสิ่งที่ชาวบ้านกำลังขาดแคลนมากกว่า แต่นั่นก็เป็นแค่ข้อเสนอของคุณพยงค์เท่านั้น และพวกเราก็เห็นว่ามันก็น่าจะเป็นไปได้ แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมของทางชมรมอีกที ว่าสมควรหรือไม่สมควร
ที่ จ.สุพรรณบุรี ที่เรามากันนี้มันแตกต่างจากที่คิดไว้มาก เพราะครั้งแรกที่เราคิดไว้ก็น่าจะเป็นถนนเลนกว้างประมาณ 8 เลน ที่เค้าบอกว่า นายบรรหารได้สร้างเอาไว้ และก็คงจะสะดวกสบาย แต่ที่ๆ เรามาเจอมันเหมือนกับชนบทอย่างรุนแรง เหมือนกับทางภาคอีสานด้วยซ้ำ มันเป็นภูเขาล้อมรอบมากมาย และที่ ๆ เรามาอยู่ก็เป็นถนนลูกรัง บางทีอาจจะไม่เรียกว่าถนนก็ได้ เพราะมันเป็นทางของป่าที่พอจะให้รถวิ่งไปมาได้มากกว่า เป็นแค่ทางเดินรถและก็ทางเดินเท้าธรรมดา บ้านที่เราพักอยู่อาศัยเป็นบ้านที่เพิ่งปลูกของคุณพยงค์ ในแถบนี้ก็ไม่ค่อยมีบ้านคนเท่าไร มันเป็นเหมือนการปลูกบ้านธรรมดา ๆ เองในป่ามากกว่า ส่วนบ้านก็เป็นไม้ธรรมดา ถือว่าบ้านที่เรามาพักอาศัยก็ดีที่สุดแล้ว ในทุกหลังแถบนี้เพราะว่าที่บ้านหลังอื่น ๆ ของชาวบ้านเค้าจะเป็นสังกะสีธรรมดาไม่ได้มีอะไรหรูหราเลย กินอยู่ก็ธรรมดา จะไปตลาดทีก็นั่งรถไปไกลพอสมควร หรือไม่ก็รอรถกับข้าวเท่านั้น
ที่นี่ชาวบ้านมักปลูกผักสวนครัวกัน และก็นำผักส่วนที่นอกเหนือจากที่จะเอาไปขายมาทำกับข้าวด้วย ผลไม้ที่เห็นๆ ก็คือ ส้มโอ แต่ก็มีผลไม้อย่างอื่นด้วยเช่น ลำไย แล้วก็มากมาย แต่จะเห็นเค้าปลูกผักกันซะมากกว่า ผักที่เห็นกันทุกวันก็คือผักกาดแก้ว ผักกาดหอม พวกผักสลัดทั้งหลายนั่นแหละ
ในวันที่ 2 ของการมาออกค่ายครั้งนี้เราได้ไปดูอ่างเก็บน้ำด้วย จำไม่ได้แล้วว่าชื่อมันว่าอะไร แต่เท่าที่รู้แล้วการสร้างอ่างเก็บน้ำนั้นมันทำให้ชาวบ้านหรือพวกชาวกะเหรี่ยงที่นี่เดือดร้อนมาก และเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เพียงพอด้วยเพราะไม่มีน้ำซักหยด แล้วการใช้งบประมาณในการสร้างอ่างเก็บน้ำก็เยอะมาก ไม่คุ้มกับที่เสียไปเลย
แล้วต่อไปเราก็ไปดูแปลงผักของพวกชาวบ้านต่อ เราได้ออกไปคุยกับชาวบ้านว่าเค้าประสบปัญหาอะไรบ้าง สิ่งที่เราได้เห็นที่แปลกๆที่ไม่เคยเห็นก็คือ ผักมากมายที่เรากินกันทุกวัน ได้เห็นลำต้นของมันจริง ๆ ว่าเป็นแบบไหน ที่นี่มีแต่ผักทั้งนั้น เยอะมาก ๆ มีทุกชนิดเลย เช่น ตะไคร้ เผือก กะเพรา โหระพา และก็มีอีกมากมายที่ไม่ได้พูดถึง เอาเป็นว่าถ้าเกิดเก็บไปขายก็สามารถเปิดแผงตลาดได้เลย แล้วเราก็ได้เห็นจอมปลวกด้วย แล้วก็ได้รู้อะไรมากมายจากที่ได้ไปสัมผัสกับชาวบ้านครั้งนี้ว่าเค้าดำรงชีวิตกันยังไง เค้าอยู่ได้ไงโดยปราศจากเทคโนโลยี เค้าใช้ชีวิตแบบพอเพียงกันจริง ไม่ต้องมีของใช้หรูหราหรือว่าฟุ่มเฟือยเหมือนคนกรุงเทพฯ ไม่ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เค้าก็สามารถอยู่กันได้แบบสบายๆ ทุกอย่างที่เราเห็นมันต่างกับกรุงเทพฯ มาก ไม่เหมือนกับการดำรงชีวิตของคนในกรุงเทพฯ เลยแม้แต่น้อย
ในการมาครั้งนี้ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีคนอีกมากมายที่เค้าไม่มี ยังมีคนอีกมากมายที่ขาดแคลนกัน แต่เรากลับใช้ชีวิตที่คิดว่าไม่เพียงพออยู่ทุกวัน คนที่นี่เค้าอยู่ตามอัธยาศัย เก็บผัก ทำน้ำพริกกินกัน มีกินกันทุกวัน ไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหมูก็สามารถอยู่ได้ ตอนแรกที่เรามาครั้งแรก มันรู้สึกว่าไม่น่าจะอยู่ได้เลย เพราะกับข้าวที่นี่มีแต่ผักทั้งนั้น ปกติแล้วที่บ้านของเราก็ไม่ค่อยมีใครกินผักซักเท่าไร แทบเรียกว่ามีแต่เนื้อหมูก็อิ่มท้องแล้ว แต่มาอยู่นี่นี่มันต้องปรับตัวมาก ๆ ทุกวันหรือทุกมื้อก็มีแต่ผักทั้งนั้น มีอาหารมื้อเย็นมื้อหนึ่งที่มีแต่น้ำพริกกับผักต้ม เราตกใจมากเพราะไม่เคยกินแบบนี้มาก่อน เนื้อหมูหรือว่าสิ่งที่อิ่มท้องมันไม่มีเลย แต่เมื่อได้กินเข้าไปแล้วมันก็อร่อยดีเหมือนกันแถมได้ประโยชน์ด้วย เราคิดว่าถ้าเราหัดกินแบบนี้ตั้งแต่ที่แรกก็คงมีประโยชน์กับตัวเรามาก ๆ เลย เพราะการกินผักก็ทำให้สุขภาพดีกว่าการกินเนื้อสัตว์อย่างเดียว จนตอนนี้กลายเป็นว่าเราติดที่จะกินผักมากกว่าเนื้อสัตว์เข้าแล้ว
เราชอบอากาศที่นี่มาก อากาศที่นี่เย็นสบาย นอนโดยที่ไม่ต้องใช้แอร์ด้วย น้ำที่นี่ก็เย็นสบายมากเหมือนกัน การที่มาเข้าค่ายหรือมาดูงานกับพวกพี่ๆ ครั้งนี้ทำให้ได้อะไรกลับไปเยอะมาก จากที่เราไม่เคยล้างจาน เมื่อตอนที่อยู่กรุงเทพฯเราก็สามารถทำได้ เราปอกส้มโอได้ เรากินผักได้จากที่ไม่เคยแม้กระทั่งคิดจะแตะมันเลย เรารู้จักผักอีกหลายชนิด เราได้รู้ว่ามีคนอีกมากมายที่เค้าอยู่กับแบบธรรมดาไม่ได้ต้องการความหรูหรา และสุดท้ายที่เราประทับใจมากที่สุดก็คือได้รับความอบอุ่นจากพวกพี่ๆทุกคนที่อยู่ค่ายนี้ พวกพี่ทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นส่วนเกิน และก็ได้สอนหลายๆ อย่างให้เราจากที่เราไม่เคยเห็นหรือรู้มาก่อนเลย คอยห่วงใยและเอาใจใส่ตลอดทั้งวัน และเล่นกับเราจนกระทั่งเรานอน
สุดท้ายแล้วก็อยากบอกว่าประทับใจมากที่ได้มาค่ายนี้ และก็คิดว่าเวลา 3 วันที่ผ่านไปเป็นวันที่คุ้มค่ามาก ไม่เสียดายเลย และก็คิดว่าถ้ามีค่ายหรือว่ามีกิจกรรมขึ้นอีกก็อยากทำกิจกรรมร่วมกับพี่ ๆ ทั้งหมดด้วยอีกครั้ง
บันทึกชาวค่ายฯ : โครงงานการสำรวจพื้นที่ทำการเกษตรกรของชาวบ้านและชาวไทยภูเขา ในเขตอำเภอด่านช้าง
จากการได้เข้ามาศึกษาการทำเกษตรกรรมของชาวบ้านและชาวเขา ทำให้ได้ทราบถึงปัญหาและความต้องการในเบื้องต้นของชาวบ้านที่อาศัยอยู่เขตซึ่งเป็นพื้นที่ ที่กำลังอยู่ในสภาพการทำไร่การเกษตรเลื่อนลอย หรือในอีกมุมมองหนึ่งนั่นคือ ชาวบ้านยังมีพื้นที่การทำการเกษตรที่ยังไม่พอเพียงกับความต้องการในการดำรงชีพ และนอกจากนั้นยังรวมไปถึงชาวบ้านยังไม่มีความรู้ที่เพียงพอในการทำการเกษตรกรรมด้วย
นอกจากนั้นปัญหาที่ทำกินของชาวบ้านยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในบางเรื่อง การเกษตรกรรมของชาวบ้านในพื้นที่แถบนี้ยังเป็นการทำไร่และปลูกผักบนพื้นที่สูง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย เช่น ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ำในการทำเกษตร ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ทำกินต่างๆ และอาจรวมไปถึงปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง
จากการที่ได้พูดคุยกับคนในพื้นที่ทำให้ทราบอีกว่า ได้มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาแก้ไขปัญหาในบางส่วนของชาวบ้าน แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพียงพอกับ ความต้องการที่แท้จริง การแก้ปัญหาของรัฐเช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ การเข้ามาจัดสรรพื้นที่ทำกินให้ชาวบ้านเป็นต้น นอกจากนั้นชาวบ้านยังมีความรู้ในการทำเกษตรน้อยอยู่ หลังจากที่ได้เข้าไปสำรวจ จึงได้รู้ว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังทำการเกษตรแบบผสม นั่นคือชาวบ้านปลูกผักหลายชนิดในการทำสวนผัก ซึ่งยังขาดความรู้อีกมาก
จากการสอบถามทำให้ทราบว่าชาวบ้านยังทำการถางป่าซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นภูเขา ทำให้หน่วยงานรัฐได้เข้ามาแก้ปัญหาในจุดนี้ แต่การแก้ปัญหานี้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันของชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าเดียวกันอีกด้วย
การสร้างอ่างเก็บน้ำที่ใช้สำหรับการเกษตรของชาวบ้านนั้น หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาสำรวจแล้ว และได้ทำการสร้างไปแล้วหลายจุด แต่หลังจากที่ทำการสร้างเสร็จไปแล้วนั้น อ่างเก็บน้ำบางแห่งไม่สามารถเก็บน้ำได้ ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณไปโดยที่ไม่เกิดประโยชน์กับคนในพื้นที่อีกด้วย
และอีกปัญหาหนึ่งก็คือ หลังจากที่ได้ทำการสร้างอ่างเก็บน้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ทำการอพยพชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่จุดนั้นออกไปยังพื้นที่ที่ได้ไว้ให้ แต่หลังจากที่ได้พูดคุยกับคนในพื้นที่แล้ว ชาวบ้านได้รับการจัดสรรพื้นที่น้อยกว่าที่ตกลงกันไว้ ทำให้เกิดปัญหาพื้นที่ทำกินไม่เพียงพอกับจำนวนความต้องการของชาวบ้านที่จะมีจำนวนของประชากรซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยังต้องการการแก้ไขจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกมาก
ชาวบ้านในพื้นที่นี้ยังอยู่ในการแก้ไขปัญหาแต่เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้ปัญหาอื่นๆ เกิดขึ้นตามมาจึงหวังว่าในอนาคตหน่วยงานที่เกี่ยงของและหลายๆ หน่วยงานได้เข้ามาสำรวจและช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้ หวังว่าปัญหาต่าง ๆ นี้จะได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น
บันทึกชาวค่ายฯ : บันทึกการเดินทาง….จากแนน
วันนี้ต้องไปที่สุพรรณฯ เป็นโครงการใหม่ของชมรมเรียกสั้น ๆ ว่า การดูงาน คาดว่างานนี้คงมีสมาชิกประมาณ 10 คน แต่ตอนแรกคิดว่าน่าจะเยอะกว่านี้ เหมือนกับหลอกตัวเอง ที่ติดต่อไว้จะมีสมาชิกใหม่ไป 3 คน แต่ตอนนี้ก็ 6 โมง 15 ได้เวลานัดแล้วก็ยังไม่มีใครมาเลยซักคน นัดกันไว้ที่โต๊ะค่ายข้างสระเป็ด “ฮวง” โทรมาบอกว่าติดต่อน้องอีก 2 คน ไม่ได้ แต่อีกคนที่เหลือกำลังจะมาแล้ว พอมาถึงก็คุยกันได้ซักพักเค้าก็ขอตัวกลับก่อนโดยไม่รู้สาเหตุ สรุปแล้วครั้งนี้มีสมาชิกใหม่ 1 คน ชื่อ น้องน้ำตาล
พวกเราขึ้นรถตู้กันประมาณ 3 ทุ่มเราใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงถึงที่สุพรรณฯ ลงมาจากรถตอนแรกคิดว่าที่นี่ ไม่ภาคอีสานก็ต้องเป็นภาคเหนือ เพราะรอบรอบเป็นภูเขาแล้วต้นไม่เยอะมากไม่คิดว่าเป็นภาคกลางเลย เข้าไปที่พักก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ตื่นมาตอนเช้าก็เห็นผักสวนครัวปลูกอยู่รอบ ๆ บ้าน บรรยากาศดีมาก หลังจากที่เรากินข้าวเช้าก็ไปนั่งคุยกันใต้ต้นไม้ พูดถึงจุประสงค์ของการมาครั้งนี้ แล้วพี่พยงค์ ผู้ที่ดูแลอยู่ที่นี่เล่าว่า ตลอดเวลาที่พี่พยงค์อยู่ที่นี่มาเป็นเวลาประมาณ 12 ปี พี่พยงค์ช่วยเผยแพร่ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเกษตรจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านสามารถอยู่และประกอบอาชีพโดยที่ไม่ต้องพึ่งสารเคมี และช่วยเป็นสื่อกลางการดูแล การนำผลิตผลของชาวบ้านที่ได้จากการเกษตรไปส่งกับผู้รับซื้อ
ปัญหาของชาวบ้านที่นี่ นอกจากจะมีปัญหาที่เกี่ยวกับการเกษตรแล้ว ยังมีปัญหาที่ได้รับผลกระทบมาจากการสร้างเขื่อน ที่ดินของชาวบ้านที่เคยอยู่อาศัย และ ใช้ประกอบอาชีพเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ถูกกระทบจากการสร้างเขื่อน ทางการได้ยื่นข้อเสนอให้กับชาวบ้านออกจากพื้นที่โดยจะให้ที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ครอบครัวเล็ก 8 ไร่ และ 14 ไร่ สำหรับครอบครัวใหญ่ ครั้งนี้ทำให้ชาวบ้านแตกกันออกเป็นสองกลุ่ม มีผู้ที่ยอมรับข้อเสนอและผู้ที่ไม่ยอมรับ ได้หาที่ทำกินกับบริเวณใกล้ ๆ กับที่เก่าที่ถูกนำไปสร้างเขื่อน ส่วนผู้ที่ไม่ยอมรับข้อเสนอก็ไม่ได้รับที่ดินอย่างที่บอกไว้ ชาวบ้านได้แบ่งที่ดินกันเพียงครอบครัวละ 1 ไร่ ซึ่งมันไม่เพียงพอที่ชาวบ้านจะนำไปเพาะปลูกหรือประกอบอาชีพ ชาวบ้านต้องเวลาไปรับจ้างข้างนอกซึ่งไม่มีเวลาดูเลผลิตผลของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ชาวบ้านมีข้าวไม่พอต่อการบริโภค พี่พยงค์เสนอให้สร้างธนาคารข้าวเป็นที่เก็บข้าวไว้ชาวบ้านสามารถนำข้าวในธนาคารเข้าไปใช้ก่อน แต่เมื่อทำการเก็บเกี่ยวนาข้าวของตัวเองเสร็จแล้วต้องนำข้าวมาคืน เพิ่มขึ้นอีก 1 ถังเพื่อเป็นดอกเบี้ย
แต่ที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับโครงการสร้างเขื่อนคือ เขื่อน ที่ทางการบอกว่าจะสร้าง ตอนที่เราไปดู มันไม่น่าจะเรียกว่าเขื่อนได้เลย เพราะไม่มีน้ำเก็บอยู่เลย นอกจากที่มันจะไปได้ใช้ประโยชน์ภายใต้อ่างเก็บน้ำอันนี้ ทำให้ชาวบ้านไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีที่ทำกิน และยังทำให้ชาวบ้านเกิดความแตกแยกอีก ไม่รู้เหมือนกันว่า ใครจะรับผิดชอบตรงนี้บ้าง
พวกเราได้ออกไปดูแปลงการเพาะปลูกผักของชาวบ้านที่ไม่ใช้สารเคมี เป็นผักปลอดสารพิษ มีผักหลายชนิดมาก ก่อนที่จะกลับพี่พยงค์ได้ซื้อผักจากชาวบ้านเพื่อนำกลับไปทำเป็นอาหารเย็น ก็ได้นั่งคุยกันอีกซักพักก็ต้องของตัวไปนอนก่อนเพราะปวดท้องมาก
วันนี้เป็นวันกลับพี่เจนแฟนของพี่พยงค์ซึ่งเป็นผู้ดูแลกลุ่มของชาวบ้านที่เป็นผู้หญิงชาวกะเหรี่ยง ตอนนี้ชาวบ้านผู้หญิงได้สามารถมีรายได้กับอาชีพใหม่คือการทอผ้า ซึ่งปกติก็จะทอไว้ใช้กันเองแต่ตอนนี้เค้าสามารถนำไปขายมาเป็นรายได้ใหม่ที่เกิดขึ้นในครอบครัว ภูมิปัญญาที่ถูกรื้อฟืนมาจากคนรุ่นหลัง ทำให้มันไม่หายไป
บันทึกชาวค่ายฯ : บันทึกการเดินทาง….จากฮวง
13 สิงหาคม 47 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ การเดินทางใน Trip นี้มีสมาชิกใหม่มาด้วย 1 คน แต่จริง ๆ จะมี สมาชิกใหม่มาด้วยอีก 2 คน อีกคนขอกลับไปก่อน อีกคนเกิดปัญหามาไม่ได้ ก็ไม่รู้นะว่าทำไมกิจกรรมดีๆ มีประโยชน์ สาระ ความรู้ ถึงไม่ค่อยมีคนให้ความสำคัญกับมันมากนัก กิจกรรมครั้งนี้ เป็นกิจกรรมดูงานครั้งที่ 1 ของทางชมรม มีชื่อเป็นทางการว่า “กิจกรรมเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนและนักพัฒนา” เป็น 1 ในเครือข่ายของ NGO ชื่อว่า โครงการพัฒนาระบบนิเวศเกษตรและอนุรักษ์พันธุ์พืช ที่ บ้านห้วยหินดำ ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรีวันที่ 13-15 สิงหาคม 2547 ไปถึงก็ดึกมากแล้วพี่เจนดูแลเรื่องที่นอนให้ ก็หลับสบาย
14 สิงหาคม 47 ตื่นมาตอนเช้าได้เห็นสภาพโดยรอบรู้สึกสบายเป็นเนิน พี่พยงค์เค้าปลูกผักเยอะมากไว้กินในครอบครัว ปลอดภัยอีกต่างหาก มีสมาชิกบอกว่าบรรยากาศ และสถานที่คล้ายกับ อีสาน ผสมกับ เหนือ เพราะเรารู้กันแต่ว่า จ.สุพรรณบุรี มีแต่ทุ่งนา ใครจะรู้ว่า จ.สุพรรณบุรีมีภูเขาด้วย มีลักษณะคล้ายป่าอยู่เหมือนกัน สมบูรณ์ เขียวชอุ่ม ที่นี้มี พี่พยงค์เป็นแกนนำหลักสำคัญในการสอนให้ชาวบ้านได้รู้จักวิธีการทำเกษตรในเชิงอนุรักษ์ที่ไม่ใช้สารพิษ สารเคมี เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยการใช้ปุ๋ยที่ทำจากเศษผักผลไม้ที่เรากินเหลือ หรือมันเน่านั่นเอง แล้วใส่สารเคมีบางชนิดลงไปอีกเพื่อให้มันกลายเป็นปุ๋ยหมัก
อาหารเช้าก็ได้การสนับสนุนจากพี่เจน พอสายหน่อยก็มีการเสวนากันล้อมกันเป็นวงกลมก็คุยกันเกี่ยวกับประวัติของพี่พยงค์ และพี่เจน และก็ความเป็นมาของการเกิดชมรมกลุ่มอนุรักษ์นี้ขึ้น และพี่พยงค์ก็เล่าเกี่ยวกับชาวบ้านในหมู่บ้านที่เป็นชาวกะเหรี่ยงที่แต่เดิมเคยอาศัยอยู่ที่บริเวณที่ปัจจุบันกลายเป็นอ่างเก็บน้ำในโครงการฯ พี่พยงค์บอกว่าในนั้นไม่มีน้ำ แต่ว่าถูกทางป่าไม้ไล่เพื่อที่จะทำอ่างเก็บน้ำ แล้วพอตอนบ่าย ๆ พี่พยงค์ก็พาไปดูอ่างเก็บน้ำที่ในนั้นก็หาได้มีอยู่ในนั้นไม่ กลับมีควายเดินหากินกันให้ขวักไขว่ ได้มีโอกาสลงเดินเล่นในอ่างเก็บน้ำที่เป็น พื้นดินที่ชาวบ้านต้องสูญเสียให้กับรัฐ ที่เอามาทำอ่างเก็บน้ำที่ไร้ประโยชน์มาก นี่หรือ ? อำนาจรัฐที่ทำกับชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
แล้วพี่พยงค์ก็พาไปดูสวนผักที่สอนให้กับชาวบ้าน ก็ได้รู้จักพืชผักหลายชนิดเหมือนกัน เช่น ต้นหน่อไม้ฝรั่ง ต้นเผือก ฯลฯ ตอนค่ำ ๆ มีรอบกองไฟกันนิดหน่อย พี่นกสัมภาษณ์พี่พยงค์ และพี่เจน ฟังเราก็ได้ความรู้ด้วย
15 สิงหาคม 47 วันนี้พี่เจนพาไปพบกับกลุ่มชาวบ้านกะเหรี่ยงที่เค้าทอเสื้อผ้าพื้นเมืองของเค้าเอง เป็นสินค้าที่ได้ออกงาน OTOP ด้วย สวยงามมาก ก่อนกลับก็ซื้อติดไม้ติดมือกันกลับมา อุดหนุนคนไทยกันเอง
ปล. ก็ต้องขอบคุณพี่พยงค์ ที่ได้ให้โอกาสไปศึกษาดูงาน และให้ความรู้เกี่ยวกับเกษตรในเชิงอนุรักษ์ว่าทำกันอย่างไร และพี่เจน ที่คอยดูแลเรื่องอาหารให้ทุกมื้อ (อร่อยมากค่ะ)
บันทึกชาวค่ายฯ : แผ่นดินมิใช่ของข้า แต่เป็นของท่านผู้รุกราน
บทความนี้เกิดขึ้นเมื่อ 15 สิงหาคม 2547 ซึ่งเป็นครั้งแรกของการดูงานใน โครงการพัฒนาระบบนิเวศเกษตรและอนุรักษ์พันธุ์พืช อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี เจ้าบ้านได้แก่ พี่พยงค์ และพี่เจน ซึ่งเป็น NGO ทางด้านการเกษตรโดยไม่พึ่งเคมีชีวภาพ สภาพพื้นที่ก็มีแปลงทดลองปลูก สวนผลไม้การเกษตร พืชผักและผลไม้ที่ทำการเพาะปลูกเอง ปุ๋ยที่ใช้ก็หมักเองโดยเอาวัตถุดิบที่ ๆ มีอยู่มาทำและนำไปใช้
สิ่งที่เรียนรู้คือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นและองค์ความรู้ที่ได้สั่งสมมา จัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด พี่เขาไม่ได้ทำด้านการเกษตรอย่างเดียวแต่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับท้องถิ่นด้วย เช่น กลุ่มสตรีทอผ้า กลุ่มอนุรักษ์ป่าชุมชน และอื่น ๆ อีก สาเหตุที่พี่เขาทำเพราะเป็นอุดมการณ์ส่วนตัวที่มุ่งมั่นว่าจะกลับมาพัฒนาถิ่นกำเหนิด พี่เขาก็ได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน จนปัจจุบันจนทำให้เราทราบปัญหาบางประการที่ไม่เคยได้ยินจากสื่อใด ๆ เลย เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำป่าคู้ เนื่องจากว่าเมื่อก่อนมีชนเผ่าชาวกระเหรี่ยงที่ตั้งรกรากนานมาแล้ว ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นตั้งอยู่ในหุบเขาที่มีลำน้ำไหลลงมาจากภูเขาละแวกนั้นจนเป็นลำธารขนาดเล็ก ก็เลยได้มีการจัดโครงการอ่างเก็บน้ำเพื่อรองรับน้ำสำหรับการเกษตร
โดยที่โครงการต้องอบพยบชาวบ้านออกจากพื้นที่ซึ่งบางส่วนไม่ยอมเพราะเขาอยู่มานานแล้วและไม่อยากจะออกจากพื้นที่ ๆ อยู่ตั้งแต่เดิม ตอนนั้นชาวบ้านได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม พวกแรกที่ยอม เรียกว่าป่าคู้ล่าง คือพวกที่เข้าร่วมโครงการ โดยที่จะได้รับเงินชดเชยหรือพื้นที่ 1ไร่สำหรับที่อยู่อาศัยและ 8 ไร่สำหรับที่ทำกิน กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มป่าคู้บน คือกลุ่มที่ไม่เข้าร่วมโครงการ แต่ก็ยังทำกินในพื้นที่อยู่มานกนะทั้งปัจจุบัน
เวลาผ่านไป 5 ปี พวกเขาก็ยังไม่ได้รับเงินชดเชยหรือที่ทำกินใด ๆ ตามที่โครงการได้นำเสนอไว้ตั้งแต่ที่แรกก่อนการจัดตั้งโครงการ ครั้นจะกลับไปอยู่หมู่บ้านเดิมก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่รับการต้อนรับกลับเข้าหมู่บ้านอีก ก็เลยเกิด หมู่บ้านป่าคู้บน และหมู่บ้านป่าคู้ล่าง
ประเด็นนี้ชี้ให้เราเห็นชัดว่าหลาย ๆ โครงการก็มิได้ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรและยังผลให้ชาวบ้านที่อยู่กินด้วยกันมานานต้องแตกคอกัน ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์แต่อย่างเต็มที่ โครงการก็มิได้มีส่วนสานต่อแต่อย่างใด
กลับมาที่กลุ่มหมู่บ้านป่าคู้บน พวกเขาปัจจุบันรวมกลุ่มกันจัดตั้งสหกรณ์ ปลูกผักไร้สารส่งตลาดเพื่อเลี้ยงครอบครัวและบริโภคในครัวเรือน ในหมู่บ้านป่าคู้บนมี 14 ครัวเรือนและยังต้องการธนาคารข้าว เพื่อที่จะไว้สำรองตอนที่ข้าวพวกเขาไม่เพียงพอต่อการบริโภค และอีกทั้งพวกเขาจะไม่ต้องเข้าเมืองเพื่อ หางาน หาเงิน มาเลี่ยงครอบครัว
พี่พยงค์ได้กล่าวตอนปิดท้ายว่า ตอนนี้เขาเองอยากจะทำ “โครงการธนาคารข้าว” และก็อยากจะได้ การสนับสนุนจากหลาย ๆ หน่วยงาน เช่น อุปกรณ์ก่อสร้างสำหรับ สร้างฉาง ข้าวสำรอง และสาธารณูโภคอีกหลายประการ หวังว่าชาวบ้านจะได้รับการช่วยเหลือตามความเหมาะสม