Picture by Matt Cole

“แม่… บนดวงจันทร์มีใครอยู่ป๊าววว”

เด็กน้อยวัย 3 ขวบกว่า ๆ ถามแม่อย่างสงกะสัย ท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนข้างขึ้นที่ส่งประกายขาวนวลดุจกลางวัน ลมพัดเอื่อย ๆ โชยกลิ่นดอกมะลิซ้อนกลิ่นหอมจาง ๆ ลอยมากับสายลมอย่างไม่ขาดระยะ ตรงนอกชานบ้านทรงอีสานที่ทำด้วยไม้ในยามค่ำคืนที่อบอ้าวของหน้าร้อนเป็นที่ตากลมกลางคืนก่อนเข้านอนของคนบ้านนี้ เป็นเสมือนสิ่งที่เชื่อมร้อยสายใยในครอบครัวที่นับวันจะเลือนหายไป

“มีซิลูก ก็…มีตากะยายกำลังตำข้าวไง” ผู้เป็นแม่ตอบพร้อมกับบรรจงหอมไปที่แก้มของลูกชายตัวน้อย ๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดของเธออย่างทะนุทนอม นาน ๆ ครั้งที่ความเงียบจะถูกปลุกด้วยเสียงนกกลางคืนที่คุ้นเคยหยอกเหย้ากันอย่างสนุกสนานจากฟากหนึ่งของสวน ไปยังอีกฟากหนึ่งเสมือนมันเริงร่าต้อนรับราตรีกาลอันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้น

เด็กน้อยนอนบนตักแม่ที่อบอุ่นกว่าเตียงนอนชั้นดีราคาแพงหลายเท่า ดวงตาสุกใสมองผ่านแว่นตาอันจิ๋วของเขา มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ที่นวลแสงจันทร์บดบังเหล่าดาราน้อยใหญ่ให้เป็นเพียงแสงจาง ๆ 

“แม่..ดาวไก่น้อยหายไปไหน” เด็กน้อยถามด้วยความเคยชิน เพราะในทุกค่ำคืนเขาจะมองหาดวงดาวที่แม่เขาเคยชี้ให้ดู และในทุกคืนเช่นกันที่เขาจะหลับตรงตักของแม่โดยที่ยังไม่ได้ร่ำลาหมู่เพื่อนของเขาที่ส่องแสงแจ่มจรัสอยู่บนท้องฟ้า

“เค้าไม่ได้หายไปไหนหรอกลูก เขาก็รออยู่ข้าง ๆ นั่นไงเห็นไหม ตาเยอะกว่าใครเพื่อน ยังมองไม่เห็นอีก” แม่ตอบคำถามอันไร้เดียงสาของเด็กน้อยช้า ๆ แล้วหัวเราะเบา ๆ ด้วยความรักต่อลูกชายคนเดียวของเธอ 

“แม่อยากไปหาตากะยายที่ตำข้าวปะ เค้าจะพาไป” เด็กน้อยถามพลางลุกขึ้นนั่งอย่างเอาจริงเอาจังเต็มที่ 

“จะพาแม่ไปเหรอ” เธอตั้งคำถามด้วยสีหน้าที่อมยิ้มเพื่อรอฟังคำตอบ

“ช่ายย เค้าจาพาข้ามประตูไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง” เด็กน้อยอธิบายพร้อมกับชี้นิ้วเล็ก ๆ ไปที่ประตูห้องนอน 

“จะไปได้ไงลูก” แม่ถามเหมือนกับพยายามจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ให้หลุดออกมา 

“เมื่อเช้าโดเรมอนยังข้ามไปทะเลได้เลย เรามีปราตูเยอะแยะทำใมจาข้ามไม่ได้” เด็กน้อยตอบอย่างมั่นใจเพราะตอนเช้านั่งดูหนังการ์ตูนเรื่องโดราเอม่อนที่เขาชอบและเข้าใจตามประสาเด็ก ๆ ว่าประตูข้ามมิติของโดราเอม่อนก็เหมือนประตูที่เขาเข้าออกเป็นประจำ

เสียงกร๊อบแกร๊บที่บันไดบ้านใต้ถุนยกสูงเพื่อรับลมหน้าร้อนของชาวอีสาน หญิงชราใส่ชุดฝ้ายสีขาวทั้งชุดเดินขึ้นบนบ้านพร้อมขันเงินใบใหญ่ แม่ผละจากเด็กชายตัวน้อยไปรับขันเงินจากหญิงชราพร้อมกระบวยตักน้ำที่ทำด้วยกะลามะพร้าวอย่างปราณีตงดงามด้วยลายพื้นบ้านอีสาน 

“บักหล่าไปใสล่ะนาง” หญิงชราถามหาหลานชายตัวเล็กที่หนีไปแอบยายตอนที่หญิงชราดื่มน้ำ

“แม่ใหญ่เค้าอยู่นี่” เด็กน้อยโผเข้ากอดหญิงชราอย่างดีใจ 

“ไปเฮ็ดหยังมา เบิ่งดู๊กินข้าไป่หล่า ป้อนข้าวลูกไป่ล่ะนาง” หญิงชราถามพลางกอดหลานชายตัวดีไว้ในอ้อมอกอย่างเอ็นดู 

“กินแล้วหนูป้อนมันแล้ว แม่สิกินหยังบ่หนูจะเฮ็ดให่” แม่ของเด็กน้อยถามอย่างเป็นห่วง 

“บ่ดอกแม่กินแล้วไปแต่งบอน (ที่นอน) ไปเมื่ออื่นเซ้าสิไปวัดบ่ทัน” หญิงชราตอบพลางหอมแก้มหลานชายก่อนไปนอน

เด็กน้อยนอนลงที่ตักของแม่อีกคราสายลมเอื่อยพัดต้องใบไม้ปลิดปลิว หนังตาของเจ้าเด็กน้อยเริ่มหนักขึ้น หนักขึ้น ในไม่ช้าร่างของเขาก็อ่อนระทวยบนอ้อมแขนของแม่ ตาคู่สุกใสที่เบิกกว้างผ่านกรอบแว่นเล็ก ๆ เมื่อตอนหัวค่ำที่จับจ้องมองดาวหลับสนิท แม่ถอดแว่นตาเล็ก ๆ ออกจากตาของเขาความเหน็ดเหนื่อยจากการเล่นทั้งวันทำให้เขาเข้าสู่นิทราอย่างรวดเร็วตามประสาเด็กซน ๆ คนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เวลายังไม่ถึงสองทุ่มดีเท่าไหร่นัก

ไม่นานแสงไฟสลัว ๆ จากตัวรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ส่องกระทบระเบียงแล้วเสียงเครื่องดับสนิทที่ใต้ถุนบ้าน ชายวัย 26 ย่าง 27 ขึ้นมาบนบ้านพร้อมกล่องกระดาษใบย่อม ๆ

แม่ของเด็กยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ได้อะไรมาพี่” 

พ่อของเด็กน้อยพูดพลางมองที่ลูกชายที่หลับอยู่ มืออีกข้างลูบที่ศีรษะของเด็กชายตัวน้อย 

“ซื้อของมาให้ไอ้ตัวเล็ก..เห็นลูกอยากได้” 

เกือบตลอดที่เด็กน้อยรอพ่อกลับจากที่ทำงาน ที่มีแม่และดาวบนท้องฟ้าเป็นเพื่อนของเขา มีไม่กี่ครั้งที่เขาจะเห็นพ่อกลับมาเพราะเด็กน้อยมักจะหลับก่อนพ่อกลับมาถึงเสมอ แม่ของเด็กน้อยยกสำรับกับข้าวออกมาจากครัววางตรงนอกชาน พ่อลงมือกินข้าวที่มีไม่กี่อย่างอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานพ่อก็อิ่มแล้วเอาอ้อมแขนอันเข้มแข็งโอบอุ้มเอาร่างเด็กน้อยเข้าห้องนอน

ตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นเด็กน้อยกระวีกระวาดแกะกล่องที่พ่อถือมาให้เมื่อคืนอย่างตื่นเต้นดีใจ สิ่งที่พ่อซื้อให้ไอ้ตัวเล็กมันเป็นแค่โมเดลรถยนต์คันเล็ก ๆ 6 คัน แต่ในความรู้สึกของเด็กน้อยมันมีค่ามากกว่าสิ่งใด ๆ

สิ่งที่แม่และพ่อให้เด็กน้อยในวันนั้น… วันนี้มันยังติดตัวเขามาและไม่มีวันสูญสลายไปตราบที่เขายังมีลมหายใจ ทุกถ้อยกระทงความเค้ายังจำได้ จากวันนั้นถึงวันนี้สิ่งที่พ่อและแม่เค้าให้มา มันอยู่ในห้วงสำนึกและทุกลมหายใจของ……ไอ้ตัวเล็ก เสมอ

ปิยะวัฒน์ นามโฮง
23 เมษายน 2550, ตีสี่กว่า ๆ