
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นทำนองเพลงที่กำลังได้รับความนิยม ทำลายความเงียบภายในรถบัสที่ใช่ส่งนักศึกษาคันนี้ หลงนึกอึดอัดและรำคาญใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดัง
“หลง” นั่งอยู่ที่เบาะเกือบหลังสุดติดหน้าต่าง นั่งมองไปรอบ ๆ ภายในรถ ที่นั่งแสนสบาย ปรับเอนพนักได้ตามใจชอบ มีที่วางขาและที่ให้ยืดขาได้สบาย เบาะก็กว้างพอที่จะขดตัวกอดอกเมื่ออากาศภายในรถเย็นมากขึ้นเพราะเครื่องปรับอากาศ
“สบายจริง ๆ” หลง อุทานขึ้นในใจเมื่อเทียบรถบัสนี้กับรถคันอื่นที่เคยนั่งมา และยิ่งต่างกันลิบกับ รถรับส่งนักเรียนที่เขาเคยนั่งเมื่ออยู่มัธยมที่สงขลา ภาพรถสองแถวมีนักเรียนหญิงชายนั่งอัดกันเต็มคันรถ ทั่งที่นั่งซ้ายขวาและที่นั่งเสริมเป็นเบาะพาดกลางรถ นักเรียนที่นั่งเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิงส่วนเด็กชายจะเกาะห้อยโหนอยู่เต็มท้ายรถดูแน่นขนัด มือจับมั่นกับราวเหล็กบนหัว เท้าก็ขอเพียงมีพื้นที่พอสัมผัสได้เป็นพอ ดูไม่ต่างจากลิงแย่งกันโหนกิ่งไม้ กลิ่นเหม็นอับจากเหงื่อของนักเรียนชายลอยโชยคลุ้งทั้งรถ
“บางครั้งสภาพตัวเราก็บอกระดับของเราได้เหมือนกัน” หลง นึกโดยไม่ทันรู้ตัว
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นของคนที่นั่งข้าง ๆ หลง เสียงมันเหมือนเสียงจักจั่น หลงฟังยังนึกว่ามีจักจั่นในรถจริง ๆ แล้วนึกถึงตอนเด็กที่ไปจับจักจั่นกับเพื่อน ตอนเย็น ๆ มันจะร้องดังมากกังวาลดังกลบสำเนียงทุกสรรพสิ่งรอบ ๆ หลง จะใช้ยางไม้เหนียว ๆ พันไว้ที่ปลายไม้แล้วเข้าไปแถวต้นไม้ คอยฟังเสียงมัน ก็มองตามเสียงพอเห็นตัวมันก็เอาปลายไม้ที่มียางเหนียวแปะที่ตัวมันก็จะได้จักจั่นมา
ตั้งแต่หลงมาอยู่กรุงเทพฯ เขาแทบไม่เคยได้ยินเสียงจักจั่นเลย ทั้งวันคืนกลับมีแต่เสียงเครื่องยนต์ที่ฟังแล้วหงุดหงิดและรำคาญ น่าแปลกทั้งที่เสียงจักจั่นออกจะดังกว่าด้วยซ้ำแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกรำคาญเสียงของจักจั่นเลย
“เจ้าของเสียงจักจั่น จะเคยเห็นจักจั่นตัวจริงไหมน้า” หลง คิด
เจ้าของเสียงจักจั่นดึงมือถือออกมาจากกระเป๋า มือถือมีหน้าจอเป็นรูปการ์ตูนเคลื่อนไหวไปมาพร้อมไฟกระพริบและเสียงจักจั่น แลดูน่ารักและแปลกดี
“7700” มือถือเพิ่งออกใหม่เป็นที่นิยมกันมาก ฟังวิทยุได้ ถ่ายภาพได้ จอสี มีเกมให้เล่นมากมายและหลงเองก็อยากมันมาก
หลงนั่งมองโทรศัพท์ของคนนั่งข้าง ๆ นึกถึงมือถือในกระเป๋ากางเกง “3101” รุ่นเก่ากึ๋ก จอขาวดำ ทรงกระติกน้ำ มีเกมอยู่เกมเดียว ไม่มีลูกเล่นอะไรเลย ส่งข้อความไทยก็ไม่ได้ เสียงดนตรีก็ไม่เพราะ หลงจึงปิดเสียงไว้ตลอดเวลา เปิดสั่นไว้อย่างเดียว ด้วยเหตุที่เมื่อมีใครโทรเข้าเสียงมันจะได้ไม่ดังแล้วกลัวใครจะหันมามอง
หลายๆ ครั้งเมื่อใครโทรมาขณะอยู่ในที่คนเยอะ หลงถึงขนาดใช้มือปิดโทรศัพท์เวลาพูด หรือหลบตามมุมเพื่อไม่ให้ใครเห็นโทรศัพท์
เขาอยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ หลงนึกอยู่ในใจตลอดเวลา
“นี้โทรศัพท์มือถือเพิ่งออกใหม่ ที่โฆษณาทางทีวีไง พี่หนุ่มเป็นนายแบบไงละ… ใช่แล้ว พ่อฉันเพิ่งซื้อให้เมื่อวานนี้เอง เป็นไง สวยรึเปล่า” เด็กหญิงมัธยมปลาย พูดขึ้นขณะโชว์โทรศัพท์มือถือ เครื่องแรกในชั้นเรียนให้เพื่อน ๆ ดู
เด็กหญิงยิ้มอย่างภูมิใจกับการเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกในห้อง วันทั้งวันนั้นเราจะเห็นเด็กหญิงเดินถือมือถือไปมาไม่หยุดหย่อน หล่อนรู้สึกมันเหมือนเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ทำให้หล่อนดูมีค่ามากขึ้น
ไม่เกินอาทิตย์จากมือถือเครื่องแรก เครื่องที่สองก็ตามมา ไม่นานนักมือถือก็มีให้เห็นโดยทั่วไปในโรงเรียน มือถือเครื่องเดิมที่เคยทำให้เด็กหญิงดูภูมิใจกับมัน ตอนนี้ค่าของมันต่างจากวันแรกที่พึ่งซื้อมาอย่างสิ้นเชิง จากความแปลกใหม่ของมันในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นสิ่งธรรมดาไปซะแล้ว คุณค่าของมือถือไม่ใช่อยู่ที่ตัวมือถืออีกแล้วแต่คุณค่าของมันไปอยู่ที่ว่ามันเป็นมือถือรุ่นอะไรมากกว่า และรุ่นใหม่เพิ่งออกก็จะดูดีกว่ารุ่นกว่าเสมอเช่นกัน หัวข้อสนทนากันของพวกนักเรียนจึงหนีไม่พ้นโทรศัพท์ รุ่นไหนใหม่ ดีอย่างไร ราคาเท่าไร ที่โรงเรียนมีข้อมูลครบถ้วนเรียกได้ว่ามานั่งฟังปุ๊ปกลับบ้านขอเงินแม่ไปซื้อได้เลย
และโดยไม่รู้ตัว โทรศัพท์มือถือได้กลายเป็นแฟชันไปแล้ว คุณค่าของมันถูกทำให้มีค่ามากขึ้นจากการโฆษณาทางโทรทัศน์ โดยมีดาราขวัญใจวัยรุ่นเป็นนายแบบนางแบบโฆษณาชักชวนให้มีโทรศัพน์มือถือ
พ่อแม่เด็กมีมือถือใช้เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาในโลกธุรกิจ ส่วนลูก ๆ ก็ต้องมีโทรศัพท์มือถือเพราะต้องแข่งกับกระแสแห่งโลกโลกาภิวัฒน์และความทันสมัย คนตกยุคกลายเป็นคำเรียกคนที่ตามเทคโนโลยีไม่ทัน มันเหมือนใช่พูดกันเล่น ๆ แต่มันพลังที่จะค่อย ๆ บาดลึกเข้าไปในใจคนที่ถูกเรียก
“บี๊บ บี๊บ บี๊บ” หลงสะดุ้งเมื่อมีเสียงดังจากกระเป๋าเสื้อ เขาหยิบขึ้นดู
“วันนี้วันเกิดคุณพ่อ รีบกลับบ้านนะลูก เราจะมีเซอร์ไพร์ จากแม่” ข้อความขึ้นที่หน้าจอ หลงยิ้มเมื่อเห็นข้อความ ใจเต้นเมื่อนึกถึงตอนเย็น
“เฮ้ย ยังใช้เพจอยู่อีกหรือว่ะ” หลงหันมองตามเสียง โอ เพื่อนที่อยู่คนละห้องนั้นเอง
“เขาเลิกใช้กันหมดแล้ว ตกยุครึไง”
“ทำไงได้วะ พึ่งซื้อได้เดือนกว่าๆ เท่านั้น ไม่รู้นี้หว่า ว่าเขาจะเลิกใช้กันแล้ว”
“ซื้อใหม่ซิ”
“ก็อยากอยู่” หลง พูดน้ำเสียงบอกให้รู้ว่าอยากซื้อแต่ซื้อไม่ได้ แล้วถอนหายใจยาว
“เฮ้อ ทำไมหลายๆ อย่างมันเปลี่ยนแปลงเร็วนักวะ นี้ก็ต้องเปลี่ยนตามมันตลอดเลยใช่ไหมนี้”
“แน่นอนอยู่แล้ว หรือมึงอยากตกยุค ใช้ของที่คนอื่นเลิกใช้กันแล้ว”
หลงส่ายหัว
หลังจากนั้น หลง จะขอแม่ซื้อโทรศัพท์ทุกครั้งที่มีโอกาส และก็ถูกปฎิเสธทุกครั้ง
วันหนึ่งแม่หลงก็บอกว่าจะเอามือถือมาให้ หลง ฟังแล้วนึกดีใจ แม่ว่ามันเป็นเครื่องของบริษัท แม่ไม่ได้ใช้เพราะไม่รู้จะใช่โทรหาใคร จึงนำมาให้หลงใช้ก่อน แล้วค่อยซื้อเครื่องใหม่ให้วันหลัง มือถือเครื่องนั้นก็คือเครื่องที่ใช้อยู่นี้เอง
รถบัสเลี้ยวจากถนนใหญ่เข้าซอยสู่มหา’ลัย สองข้างทางมีร้านอาหารตั้งเรียงรายเป็นเพิงไม้อยู่เป็นระยะ มีรถนักศึกษาจอดอยู่หน้าร้านเกือบทุกร้าน รถแล่นไปเรื่อย ๆ หลงมองออกไปนอกรถ
“ไก่ย่าง 65 บาท” ป้ายเขียนไว้หน้าร้านหนึ่ง มีคนขายสองคนเสื้อผ้าดำเป็นด่าง ๆ จากน้ำมันและถ่านที่ย่างไก่ คนหนึ่งกำลังย่างไก่อยู่อย่างขะมักขะเม้น ไก่สี่ห้าตัววางเรียงเป็นตับถูกพลิกไปมา
“รุ่นเดียวกันนี้หว่า” หลง อุทานขึ้นเมื่อเห็นโทรศัพท์มือถือของคนขายไก่ย่างข้างทางทำสีหน้าไม่ค่อยชอบใจนัก
รถบัสถึงมหาลัยแล้วนักศึกษาลุกขึ้นทยอยกันลงจากรถ หลงยังนั่งอยู่กับที่คอยคนลงให้เกือบหมดก่อน
“บี๊บ บี๊บ” เสียงโทรศัพท์ของหลงดังขึ้น หลง ยกขึ้นดู หน้าจอขึ้นว่า “Miss Call”
“ใครวะ?” หลง นึกในใจพร้อมกดดูว่าใครโทรมา
หลง ชำเลืองมองคนบนรถ ไม่เหลือใครแล้ว รถเหมือนขยับเล็กน้อย หลงจึงตะโกนออกไป “เดี๋ยวครับ”
หลง รีบคว้าประเป๋าสะพายไหล่ ขณะมืออีกข้างถือมือถืออยู่ แล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ประตูทางออก จังหวะจะก้าวหลงนั้นเอง รถบัสกลับขยับเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อย หลงรู้สึกเหมือนสูญเสียการทรงตัวด้วยเท้าข้างหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ จึงเหยียบลงบนปันไดขั้นต่อไปพลาด เขาเสียหลักหัวคะมำไปข้างหน้า มือไม้ก่ายเกาะหาที่ยึดตามสัญชาตญาณ ทุกอย่างดูรวดเร็วเพียงพริบตาแต่หลงกลับรู้สึกว่าภาพทุกภาพชัดเจนในความรู้สึก
โดยเฉพาะภาพมือถือของเขาที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ประสาทรับรู้ทุกส่วนหยุดนิ่ง รอบตัวเขาเงียบลง เป็นเหมือนช่วงเวลาส่วนตัวระหว่างเขากับโทรศัพท์เท่านั้น โทรศัพท์ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ลอยค่อย ๆ หย่อนก้นลงพื้นอย่างนิ่มนวล แต่ฉับพลันที่มันสัมผัสถูกพื้นดินภาพทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม เหมือนมีใครกดสวิตส์เร่งความเร็ว มือถือแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างรวดเร็ว
หลงยืนอยู่บนประตูรถบัส มือยังคงเกาะอยู่ที่ราวเหนือบันได มองชิ้นส่วนมือถือบนพื้น นักศึกษาที่เห็นหลายคนยิ้มกับเพื่อน บ้างทำหน้าเหมือนเสียใจแทน และอีกหลายคนหันมามองแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลงก้มเก็บชิ้นส่วนแต่ละชิ้นขึ้นมาแล้วโดยไม่สนใจรีบเดินไปยังตึกเรียน ถ้าสังเกตให้ดีที่มุมปากและแววตาของเขาจะเห็นรอยยิ้มปรากฎอยู่ เขาชำเลืองมองฟ้า จ้องมองก้อนเมฆที่ลอยสงบนิ่งอยู่เบื่องบนรูปร่างมันเหมือนดวงตาที่จ้องมาทางเขา
“คงเป็นกำหนดจากฟ้าให้เราได้โทรศัพท์เครื่องใหม่” หลงนึกในใจ
เมือง ไม้ขม