
กาลครั้งหนึ่ง…ไม่นานเท่าไหร่ ณ ดวงดาวกลม ๆ สีสดใสดวงหนึ่ง
ดาวดวงนี้… อยู่ใกล้ ๆ กับดาวของ “เจ้าหญิงเสียงเศร้าแห่งดาวดวงที่สี่*” นั่นหล่ะ (ใกล้จริง ๆ นะ เมื่อครั้งทรงซ้อนท้ายจักรยานเจ้าชายผ่านไป คนบนดาวดวงนี้ยังยืนยิ้มเผล่ดูเขาสองคนอยู่เลย อ้อ….ส่วนเจ้าหญิงเสียงเศร้าแห้งดาวดวงที่สี่ หาพบได้ใน “หนังสือเรื่องเจ้าหงิญ” ของบินหลา สันกาลาคีรี นะคะ)
เข้าเรื่องล่ะ…
ที่ชายหาดสีรุ้งบนดวงดาวกลม ๆ นี้ มีบ้านเล็กของเด็กชายตัวกลม ๆ พอ ๆ กันกับดาวตั้งอยู่ เด็กชายผมดำ ตาแป๋ว แก้มยุ้ย เป็นที่รักใคร่ของทุกคนที่อยู่แถวๆ นั้น เด็กชายมีความสุขมาก ทุกวันของเค้ารายล้อมไปด้วยทะเลเจ็ดสี ชายหาดสีรุ้ง กระท่อมที่แสนอบอุ่น และผู้คนมากมาย…พี่พากันมาชื่นชมความงามของทะเลและเด็กชาย
เมื่อรัตติกาลมาเยือนผู้คนพากันจากลาไปยังที่ ๆ พวกเขาจากมา รอบตัวมืดมิด เวลาแห่งการพักผ่อนมาเยี่ยมเยือนอีกครา น่าแปลกที่ครั้งนี้เด็กชายไม่ได้เข้าสู่นิทรารมย์ได้ง่ายดายเหมือนอย่างเคย เค้าเดินไปยังหาดทรายและแต่คืนนี้ไม่ใช่เพียงทะเลเจ็ดสีเท่านั้นในเบื้องหน้า เด็กชายแหงนมองฟ้อง และพบพานทะเลดาวเป็นแสนล้านดวงกระพริบระยับวับวาว ราวกับดาวเเหล่านั้นกำลังเต้นระบำอยู่ในม่านแห่งรัตติกาล
ความรู้สึกบางอย่างพรายผุดขึ้นในหัวใจของเด็กชาย ความปั่นป่วน ความรู้สึกอื้ออึงพลันบังเกิด และ ณ วินาทีนั้นเร็วเกินกว่าพจนานุกรมใด ๆ จะตีความรู้สึกของเด็กชาย เป็นคำพูดได้ทัน บางสิ่งทีเรียนว่า “ความรัก” ก็พลันบังเกิด เกิดขึ้นจากอนูที่เล็กที่สุดในซอกลึกแห่งจิตวิญญาณของเด็กน้อย และกลืนกินไปสิ้นทั้งร่างก่อนจะดึงดูดเด็กชายไปสู่ห้วงเวลาที่ไร้เวลา
เมื่อดาวดวงสุดท้ายลับขอบฟ้าและอรุณรุ่งมาเยือน เด็กชายตัวกลมจึงพาพุงกลม ๆ กลับไปยังบ้านหลังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปคือ เด็กชาย
ครั้นได้ตื่นลืมตาขึ้นอีกคราในเวลาพบค่ำ เด็กชายพบว่าผู้คนพากันตกใจ เมื่อได้พบกับเด็กชาย… เด็กชายวิ่งไปยังชาดหาดสายรุ้งและพุ่งหน้าลงไปยลเงาอ่อนแสงในทะเลเจ็ดสี ยามนี้เหลือเพียงชายหนุ่งรูปงาม (งามที่สุดเท่าทีคุณจะนึกภาพออก นึกไม่ออกก็นึกหน้าตัวเองเอาก็ได้… เออ…นั้นแหล่ะ แปลกใจล่ะสิว่าเกิดอะไรขึ้น เฉลยก็ได้) เพราะความรักนั้นทำให้ทุกจิตวิญญาณเติบโต จากรักดุจทารกและมารดา ไปสู่ความรักในรูปแบบที่มากกว่า…
ชายหนุ่มหลงรักดวงดาว… (อ๊ะ อ๊ะ ฟังดูคล้ายเจ้าชู้ ดวงดาวมีมากมายแล้วจะรักดวงไหนกันแน่)
ความรักของชายหนุ่มนั้นมิใช่รักที่แสงประกายระยิบระยับวับวามตา มิใช่รักเพราะได้ยินใคร ๆ ต่างพากันบอกว่าดาวนั้นงดงาม แต่ชายหนุ่มรักดวงดาวเพราะ “ดาว คือ ดาว” (อ่ะ..งง ไม่ต้องเข้าใจก็ได้…ความรู้สึกบางอย่าง ณ วินาทีที่บังเกิดกับตัวเราเองเท่านั้น เราถึงจะเข้าใจได้ในที่สุดว่ามันคืออะไรกันแน่)
วินาทีที่พบพานดวงดาวบนท้องฟ้า …ชายหนุ่มเข้าใจ
แต่ว่า… นับแต่หลงรักดาว ชายหนุ่มมิยอมพักผ่อนในยามราตรีเอาแต่จ้องมองหมู่ดาว และต้องทำงานหนักในยามกลางวัน เพราะบัดนี้ได้เจริญวัยเป็นชายหนุ่มแล้ว จะรอให้ใครเค้าเลี้ยง
เค้าความงามมิเคยลางเลือน แม้ยามชายหนุ่มผ่ายผอมอิดโรย ดวงตาเริ่มฟ้าฟางลง จากการมิได้พักผ่อนและเอาแต่จ้องมองไปในหมู่ดาว ตลอดคืนอันยาวนาน… ในที่สุดตาของชายหนุ่มก็มืดมิดลง (ความรักทำให้คนตาบอด จริงๆ ด้วย เฮ้อ…)
++ ความโศกเศร้ามาเยือน ++ ในเมื่อหมู่ดาวนั้นคือรัก แม้มิอาจได้จับต้อง… ขอเพียงเฝ้ามองและรับรู้ความเป็นไปก็เพียงพอแล้ว
แต่ในยามนี้เพียงแค่เฝ้ามองก็สุดปัญญาที่ข้าจะสามารถทำได้… ชายหนุ่มน้อยใจในโชคชะตาไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน… (ไอ้โง่เอ้ย! จากคนเขียน) ร่างกายผ่ายผอมตรอมตรม…
ณ ริมหาดสีรุ้ง (ใกล้จบละ…อดทนอ่านหน่อยเหอะ) หินโสโครกก้อนหนึ่งนอนทอดตัวอยู่คู่หาดทรายมานานแสนนาน แม้เป็นเพียงหินโสโครกแต่มิได้รู้สึกไร้ค่า แม้ไม่มีผู้ใดเห็นความงามแต่มิได้รู้สึกไร้ค่า ตระหนักแห่งหินนั้นรู้ว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสรรพสิ่งและสรรพสิ่งล้วนคือตน
แต่ไม่นานมานี้ หินเพิ่งมีประโยชน์เพิ่มอีกอย่างคือเป็นที่นั่งดูดาวของชายหนุ่ม แม้จะรู้สึกหนักหน้าบ้างเวลารับน้ำหนักก้นที่ชายหนุ่มทิ้งลงมา แต่ภาพของชายหนุ่มยามที่แหงนหน้ามองฟ้านั้นเป็นภาพที่น่าชมยิ่ง หินรู้ว่าไม่ใช่ตนที่ชายหนุ่มจ้องมอง… แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งตน..
คือว่า…หินก้อนนั้นเป็นหินอุตกาบาตที่พุ่งชนโลกเมื่อสี่หมื่นปีที่แล้ว และหินที่ชายหนุ่มนั่งทับอยู่ก็ย่อมเป็นซากแห่งดวงดาว (เกี่ยวมั๊ยวะ) นั่นแหล่ะ…แค่นี้หินก็ดีใจแล้ว เพราะความรักที่เปล่งออกมาแม้ว่าจะหันไปในทางทิศใด แม้เป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้าม แต่พลังงานของมันก็มากพอที่จะทำให้โลกนี้อบอุ่นขึ้นเสมอ…
แต่ชายหนุ่มกำลังจะตาย… เป็นเรื่องเศร้า…
แต่…หินนี้เป็นหินวิเศษ เพราะได้อาบหมื่นล้านแสงจันทร์พันล้านแสงดาวมา (คิดดูละกันว่านานขนาดไหน) อยู่มานานจนก่อเกิดจิตวิญญาณ และทุกจิตวิญาณย่อมมีดวงใจ และทุกดวงใจย่อมมีไฟปราถนาแห่งตน
หินได้รับพรอันแสนวิเศษมาหนึ่งข้อ… (ตอนแรกหินกะเอาไว้จะขอให้หน้าขาวเหมือนนางฟ้า แต่เค้าบอกว่าอยากขาวเหมือนนางฟ้าใช้สบู่สมุนไพรนางพญาหน้าขาวก็พอ เลยเก็บคำขอมาตลอด)
ตอนนี้หินอยากให้เด็กชาย …ชายหนุ่ม …เจ้าชาย อะไรก็ตามแต่ แต่เป็นเจ้าของก้นอบอุ่นอันนั้น “มี ค ว า ม สุ ข” (ไม่ได้ขอให้เค้าฟื้นขึ้นมาเพราะถ้ามันโง่ ฟื้นขึ้นมานั่งดูดาวทุกวันมันก็ป่วยใกล้ตายอีก ไม่ได้ขอให้เค้าตายเพราะความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของสรรพสิ่งหรอก — หินรู้)
อย่างไรก็ได้… ขอให้เค้ามีความสุขก็พอแล้ว…
หลังจากที่สิ้นคำอธิษฐาน หินก็มลายกลายเป็นอินทรีย์เศษเสี้ยวของเสี้ยวเม็ดทราย
ชายหนุ่มฟื้นลืมตา… และออกไปนั่งดูดาวเหมือนทุกคราที่เป็นมา (และจะเป็นไป) แต่คราวนี้ชายหนุ่มไม่ลืมฉวยเอาผ้าห่ม และหยิบโกโก้ร้อนหอมกรุ่นไปด้วย พอหนังท้องตึงหนังตาตก… ชายหนุ่มก็เคลิ้มหลับไปท่ามกลางแสงดาวพราวฟ้า ที่ผืนทราย ยังมีความหวังดีและห่วงใยจากก้อนหินรองรับไว้… บนผืนฟ้ายังมีม่านดาวพราวฟ้าห่มคลุมให้ความอบอุ่นเสมอ…
จบแล้ว… (ฝันดีนะ…)
น้องอุ้ย
แด่…เจ้าชายตาแป๋ว – ขอให้เจ้าชายมีความสุขเสมอ…ไม่ต้องตลอดเวลาก็ได้ แต่มีเสมอ-เสมอนะ…