“Football’s Bad Boys” เป็นแคมเปญที่ริเริ่มโดย Darren Urquhart และ Tom Smith สอง Art Director แห่งกวงการโฆษณาประเทศอังกฤษ และมี George Logan เป็นช่างภาพ (http://www.georgelogan.co.uk) โดยนำเอาเด็กๆ มาเลียนแบบพฤติกรรม “แย่ๆ” ของนักฟุตบอลอาชีพชื่อดังในเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ลูกหนัง
“ไอเดียเริ่มต้นมันมาจากพฤติกรรมแย่ๆ ของเด็กๆ ตอนที่เล่นฟุตบอลกันในโรงเรียน พวกเขาเล่นกันแรงๆ แล้วก็บอกว่าเลียนแบบมาจากนักฟุตบอลคนโปรด เขาดูสิ่งเหล่านี้ในทีวีแล้วก็คิดว่าอะไรไม่ดีหลายอย่างในนั้นเป็นสิ่งที่ควรยอมรับมันได้เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเกม ผมมาคิดๆ ดูแล้วก็นึกว่าเราควรจะหยุดมันสิ เราไม่ควรให้เด็กๆ เห็นนักฟุตบอลกระโดดเตะแฟนบอลหรือกัดกันเองอะไรแบบนั้น
ฟุตบอลมันมากกว่าการเล่นกีฬาไปแล้ว มันหมายถึงการที่พวกเขา (นักฟุตบอล) มีเงินเดือนมากมาย และกลายมาเป็นเซเลบที่ชี้นำไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มันสมควรอย่างยิ่งที่พวกเขาจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ ด้วยเช่นกัน เราอธิบายให้เด็กๆ ที่มาเป็นแบบถ่ายภาพของเราเข้าใจถึงเรื่องนี้” Darren Urquhart กล่าว
Argentina 2 – 1 England, 22 June 1986
เริ่มจากประตูสุดอื้อฉาว “Hand of God” ในฟุตบอลโลก ปี 1986 ที่เม็กซิโก ของตำนานลูกหนังเสือเตี้ยชาวอาร์เจนติน่า Diego Maradona ใช้มือปัดบอลผ่าน Peter Shilton เข้าประตูไป ส่งผลให้ทีมชาติอาร์เจนติน่าเอาชนะทีมชาติอังกฤษไป 2-1 ก่อนที่อาร์เจนติน่าจะก้าวไปสู่การเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปีนั้น
หลังเกมส์ผู้สื่อข่าวถาม Maradona ว่าประตูนั้นเขาใช้มือปัดใช่ไหม? เฮียแกตอบว่า “un poco con la cabeza de Maradona y otro poco con la mano de Dios (a little with the head of Maradona and a little with the hand of God)” จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกประตูนี้ว่า “Hand of God”
Crystal Palace 1 – 1 Mancheter United, 25 January 1995
แฟนผีแดงทั่วโลกไม่มีใครลืมวีรบุรุษลูกหนังแห่ง Mancheter United กองหน้าส่วมหมายเลข 7 ปกคอเสื้อตั้งนาม Eric Cantona และคงไม่ลืม ท่ากังฟูคิกใส่ Matthew Simmons แฟนบอล Crystal Palace วัย 20 ปี (ในขณะนั้น) ระหว่างที่เขากำลังเดินออกจากสนามเนื่องจากโดนใบแดง ในเกมส์ที่ทีมปีศาจแดงออกไปเยือนสนาม Selhurst Park บ้านของทีมปราสาทเรือนแก้ว เนื่องจากอีตา Matthew Simmons ดันไปตะโกนด่าเฮีย Cantona ว่า “Fuck off back to France. Off! Off! Off! It’s an early bath for you, Mr Cantona!” เฮียเลยจัดซะ ส่งผลให้เจ้าตัวโดนแบนยาวนาน 9 เดือน ถูกปรับเงิน และถูกศาลตัดสินจำคุก 2 สัปดาห์แต่ลดโทษเป็นการให้ทำงานรับใช้สังคมอีก 120 ชั่วโมง ส่วน Matthew Simmons ถูกแบนไม่ให้เข้าชมเกมส์ในสนาม ถูกศาลตัดสินจำคุก 6 เดือนแต่รอลงอาญา 2 ปี พร้อมทั้งต้องทำงานรับใช้สังคมอีก 150 ชั่วโมง
England 2 – 0 Scotland, 15 June 1996
ท่าดีใจ “Dentist’s Chair” สุดบ้าบิ่นเลียนแบบพฤติกรรมในวงเหล้าของ Paul Gascoigne กองกลางทีมชาติอังกฤษในนัดพบกับคู่ปรับตลอดกาลอย่างสกอตแลนด์ ในฟุตบอล Euro 1996 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ถูกมองว่าเป็นพฤติกรรมไม่ดีของนักกีฬา โดยเฉพาะ Paul Gascoigne ที่มีชื่อเสียงในแง่ลบกับพฤติกรรมติดเหล้าของเขา
England 2 – 2 Argentina, 30 June 1998 (Argentina won 4-3 on penalties)
การโดนใบแดงที่โด่งดังที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล โดยซุปเปอร์สตาร์ David Beckham เทพบุตรลูกหนังทีมชาติอังกฤษ ที่ตามตอดเตะขา Diego Simeone มิดฟิลด์พันธุ์ดุของทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมส์รอบ 16 ทีมของฟุตบอลโลก ปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส นัดนั้นทัพสิงโตคำรามต้องพ่ายแพ้การดวลจุดโทษไปหลังจากเสมอกันในเวลา 90 นาที 2-2
Sheffield Wednesday 1 – 0 Arsenal, 26 September 1998
Paolo Di Canio กองหน้าชาวอิตาเลียนเลือดร้อนของ Sheffield Wednesday ผลักอกกรรมการ Paul Alcock จนร่วง เพราะไม่พอใจที่เจ้าตัวโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ในเกมส์ที่ Sheffield Wednesday เปิดบ้าน Hillsborough รับการมาเยือนของทีมปืนใหญ่ Arsenal เหตุเกิดเมื่อ Wim Jonk กองกลางชาวฮอลแลนด์ของ Sheffield Wednesday ดึงเสื้อของ Patrick Vieira กองกลาง Arsenal จึงเกิดการผลักกันไปมา จากนั้นทุกคนในสนามก็กรูเข้ามาหวังจะห้ามศึก แต่กลับเกิดศึกใหม่เมื่อ Di Canio กับ Martin Keown กองหลังทีมปืนใหญ่อีกคนปะทะ เหตุชุลมุนเกิดขึ้น Paul Alcock กลับชูใบแดงไล่กองหน้าอิตาเลียนออกเพียงคนเดียว จึงสร้างความไม่พอใจจนเขาแสดงพฤติกรรมที่ทำให้เจ้าตัวก็ต้องเจอโทษแบนห้ามเล่นยาว 11 นัดพร้อมสั่งปรับเงินอีก 10,000 ปอนด์
Manchester United 0 – 0 Arsenal, 21 September 2003
“Battle of Old Trafford” เป็นชื่อที่สื่อมวลชนในประเทศอังกฤษขนานนามเกมส์ฟุตบอลนัดสุดมันส์ระหว่าง ปีศาจแดง Manchester United เปิดรัง Old Trafford รับการมาเยือนของไอ้ปืนใหญ่ Arsenal ในวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน 2003 แม้ผลการแข่งขันจะไม่มีการยิงประตูเสมอกันไป 0-0 แต่มีดราม่าเพียบ ความสนุกสุดมันส์ ปะทะกันดุเดือดตลอดทั้งเกมส์ ระหว่าง 2 ทีมยักษ์ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของยุค เป็นคู่รักคู่แรงคู่กัดกันมาตลอดสิบปีที่ผ่านทมา
เหตุการณ์ในภาพเกิดขึ้นหลังจาก Ruud Van Nistlerooy กองหน้าตัวเก่งชาวชาวดัตช์ ของ Manchester United ยิงลูกจุดโทษพลาด! ทำให้ Martin Keown กองหลังผู้ที่ทำเสียจุดโทษ เข้ามาทำท่าดีใจเยาะเย้ยแสดงอาการข่มขวัญ ทั้งนี้เพราะ Ruud Van Nistlerooy สร้างความปั่นป่วน ยั่วยุ พลพรรคปืนใหญ่ตลอดทั้งเกมส์ จนเป็นเหตุให้ Patrick Vieira โดนใบแดงจากอาการที่หลายๆ คนมองว่าเป็น Overacting ของเขา ทีนี้พอเอ็งพลาดบ้าง…ก็ตากูล่ะ ขุนพล Arsenal ก็ต่างเข้ามารุมจวง Van Nistlerooy เป็นการใหญ่ จนเกิดเสียวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นนักกีฬาอาชีพ
France 1 – 1 Italy, 9 July 2006 (Italy won 5-3 on penalties)
Zinedine Zidane นโปเลียนลูกหนัง มิดฟิลด์อัจฉริยะทีมชาติฝรั่งเศส หนึ่งในนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากมายทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ กลับปิดฉากอาชีพด้วยใบแดงที่มาจากพฤติกรรมที่พาแฟนบอลทั้งโลกต้องอึ้ง!!! โดยกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสใช้หัวโขกใส่หน้าอก Marco Materazzi ปราการหลังทีมชาติอิตาลี หลังจากที่ถูกฝ่ายหลังยั่วยุ ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ปี 2006 ที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งที่ทีมชาติอิตาลีสามารถชนะฝรั่งเศสในการดวลลูกจุดโทษ หลังจากเสมอกันในเกมส์ 1-1 คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2006 ไปครอง ส่วน Zidane ประกาศแขวนสตั๊ด ยุติการเล่นฟุตบอลอาชีพหลังจากจบทัวร์นาเม้นท์นี้
Liverpool 2 – 2 Chelsea, 21 April 2013
Luis Suarez กองหน้าชาวอุรุกวัยของ Liverpool (ในขณะนั้น) ดันสวมวิญญาณแวมไพร์ กัดแขน Branislav Ivanovic กองหลังจอมแกร่งของ Chelsea จนถูกแบนยาวไป 10 นัด แม้จะเป็นศูนย์หน้าที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง แต่พฤติกรรมประหลาดๆ การกัดคู่แข่งของ Luis Suarez ถึง 3 ครั้ง ยังเป็นที่กังขาถึงสาเหตุ และถูกพูดคุยเป็นอันมากถึงความเหมาะสม
ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2010 ในลีกฮอลแลนด์ สมัยเฮียยังเล่นให้กับ Ajax ไปกัด Otman Bakkal แห่งทีม PSV Eindhoven ที่หัวไหล่
ครั้งที่ 2 ปี 2013 กัดแขน Branislav Ivanovic ของ Chelsea
ครั้งที่ 3 ในฟุตบอลโลก ปี 2014 ที่ประเทศบราซิล Suarez ลงเล่นในนามทีมชาติอุรุกวัย กัดหัวไหล่ Giorgio Chiellini กองหลังทีมชาติอิตาลีจากด้านหลัง
Manchester United 1 – 6 Manchester City 6, 23 October 2011
ในศึกดาร์บี้แมตช์แห่งเมือง Manchester ในปี 2011 ซึ่งเป็นการปราชัยยับเยินของปีศาจแดง Manchester United ต่อคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง Manchester City ถึง 6-1 โดยประตูแรกในเกมส์เป็นฝีเท้าของกองหน้าสุดเกรียน Mario Balotelli พอยิงประตูได้เฮียแกถอดเสื้อดีใจ โชว์ข้อความเสื้อตัวในว่า “Why Always Me?” ซึ่งดูจะเป็นการยกตนเองจนหน้าหมั่นไส้ไปนั้นเอง
ดูคลิป : https://www.facebook.com/Annopme/videos/10154152279373248