เค้าบอกว่า ฉันควรจะยิ้มให้กับทุกสิ่ง ยิ้ม …ยิ้ม และก็ยิ้ม

วันนี้ฉันเลยย้อนถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้งว่า “ฉันควรจะยิ้มให้กับสิ่งนั้น แม้มันจะทำร้ายฉันจนเจ็บปางตายดีมั๊ย?”

บ้า !!!..โง่เง่า สิ้นดี… ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่า ทำไมเราต้องยอมให้อภัยกับใครบางคนที่ทำผิดต่อเราด้วย หรือมันจะเป็นวิบากกรรม

“เธอควรจะยิ้มได้แล้ว…” เขาบอก “ถ้าเธอไม่ยิ้มให้กับโลก ไม่มีทางที่โลกจะยิ้มให้กับเธอหรอกนะ…จำไว้”

เค้าไม่ใช่ฉันนี่นา เขาไม่มีทางรู้และเข้าใจ ว่าความเสียใจของฉันมันมีมากมายเพียงไหน

“มันคือความจริงที่เธอจะต้องยอมรับ…เพราะยังไงมันก็คือความจริง”

“แล้วฉันผิดอะไร เขามีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้” ฉันเถียงด้วยน้ำเสียงกระด้าง แต่ดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำใส ๆ

“ในโลกนี้ไม่มีใครผิด หรือถูกต้อง 100% หรอกนะ” สิ้นประโยคนั้น เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มเกริ่นบางประโยค

“ฉันยกตัวอย่างบางเรื่องจากเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังมา บางทีเธออาจจะเข้าใจ”

เขาเริ่มเล่าว่า

“มีหมอแก่ ๆ ใจดีคนหนึ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวที่น่ารัก ในแต่ละวันของเขาคือ การมีความสุขที่ได้รักษาคนไข้ และคอยดูแลลูกสาวคนเดียวที่กำลังเรียนในระดับปริญญาตรี ชีวิตเขามีความปกติสุขดีอย่างนี้เรื่อยมาโดยไม่เคยเบียดบังใคร

อยู่มาวันหนึ่งมีคนพบศพหญิงสาวโดนฆ่าปาดคอที่ท้ายซอย ศพอยู่ในสภาพที่สร้างอเนจอนาถใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก หมอคนนั้นแทบคลั่งตายเมื่อรู้ว่าศพหญิงสาวนิรนามผู้นั้น ก็คือลูกสาวของตนเอง

เขาทั้งโกรธ ทั้งแค้น ฆาตกรคนนั้น และผู้คนบนโลกนี้ เขาอยากรู้ว่าตนเองและลูกสาวทำผิดอะไร? ทำกรรมไว้แต่ชาติปางไหน? 

แต่ในที่สุด… หมอก็ได้รู้ว่าใครคือคนที่ปลิดชีวิตอันแสนบริสุทธิ์และอ่อนโยนของบุตรสาว ผู้เปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจ เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มร่างผอมโซคนหนึ่ง… 

ณ ตอนนั้นหมออยากจะฆ่ามันให้ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง ด้วยวิธีการของเขาเอง ให้สมกับที่ใจอยาก หรือบางทีหมออาจจะแจ้งความจับให้มันเข้าตะรางให้สาสมกับความผิดที่ได้ก่อขึ้น

แต่หมอก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะไม่มีประโยชน์อะไร คนที่ฆ่าคนอื่นตาย จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องตายตามไปด้วย? ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต ความเจ็บปวดต้องแลกด้วยความเจ็บปวดหรือ?

หมอกำลังค้นหาคำตอบว่ามีเหตผลุอันใดที่ทำให้เด็กคนหนึ่งคร่าชีวิตเพื่อนมนุษย์อีกคนหนึ่งได้ หมอได้เก็บเขามาเลี้ยงดูและเอาใจใส่เขาราวกับเป็นลูกชายคนหนึ่งก็ไม่ปาน

จนในที่สุดหมอก็เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น เธอรู้ไหมเด็กหนุ่มคนนั้นยังเสียใจมาจนทุกวันนี้และสำนึกผิดในสิ่งนั้นอยู่เสมอ”

อีกครั้งที่เขานิ่งไป

“เธอเห็นรึยังล่ะว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่เราจะหนีความจริง เธอหนีได้นะ แต่ต้องไปให้ไกล… ไกลชนิดที่คิดว่าเธอจะไม่มาเจ็บปวดกับมันอีก แล้วเธอจะหนีไปไกลสักแค่ไหน? กับอีกวิธีง่าย ๆ แค่เธอเผชิญกับมัน และยิ้มให้กับมัน”

เขาเล่าถึงแค่นั้น… ฉันจำรายละเอียดมาได้ไม่มากนัก และไม่อยากจะซักถามอะไรมากไปกว่านั้น

เขารู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะหนี… 
เขารู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังจะไป… 
ไปในที่ที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันจะช่วยลบเลือนบางอย่างได้จริงหรือไม่

ช่างเถอะ ณ ตอนนี้ ฉันได้ปัญหามาขบคิดอยู่ 2-3 ข้อ

สมมติว่าถ้าฉันเป็นหมอคนนั้น… ฉันจะทำอย่างไร? บอกตำรวจให้รู้มั๊ย? แล้วหมอยิ้มให้เด็กหนุ่มคนนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจรึเปล่า? แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นมีชีวิตอยู่อย่างไรในทุกวันนี้?

ใช่!!! ฉันว่า… บางทีหมออาจเสียใจมากกว่าฉันก็เป็นได้ แต่เขาเข้มแข็งมากทีเดียวที่รับเอาเด็กคนนั้นมาอยู่ด้วย ฉันคิดว่าเขาจะเอามาเลี้ยงแล้วฆ่าให้ตายทั้งเป็นซะอีก 

ก็อย่างว่า… มันไม่มีประโยชน์อะไรนี่ที่มัวแต่จะเก็บเอาความทุกข์ตรมไว้กับตัวเอง ความจริงฉันต่างหากที่โง่เง่าและไม่เอาไหน ทั้ง ๆ ที่มันง่ายนิดเดียวเพียงแค่เรายิ้ม ใช่!!! บางทีฉันก็อยากเข้าใจว่า อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาทำแบบนั้น 

ฉันนอนร้องไห้ทั้งคืน และคิดว่าจะร้องเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล่ะ ฉันสัญญากับตัวเองว่า “พรุ่งนี้ฉันจะยิ้มให้กับทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้วฉันก็เริ่มหัดยิ้ม

ฉันตื่นขึ้นมายืนยิ้มให้กับตัวเองที่หน้ากระจก… 
ฉันยิ้มให้กับนกที่ที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้หลังห้อง…
ฉันยิ้มให้กับความจอแจบนท้องถนน…

ฉันยิ้มให้กับเสียง ๆ นั้น… ฉันยิ้มให้กับแผ่นหลังและท้ายทอยของเขา…ในขณะที่เขากำลังเอี้ยวตัวมา ฉันเห็นใบหน้าของเขา… และในตอนนั้นฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกรีดร้อง (ทำไมมันยากจัง)

นี่เป็นคำตอบว่าทำไมวันนี้ฉันจึงยังอยู่… ฉันอยู่เพื่อที่จะยิ้มให้กับอะไรบางอย่าง ฉันเพียงอยากจะรู้คำตอบว่า “ถ้าฉันยิ้มให้กับโลก…แล้วโลกจะยิ้มให้กับฉัน (มั้ย)”

ขอบคุณ… กำลังใจจากผู้ชายคนนั้น และเรื่องเศร้า ๆ แต่มันทำให้เราอยากที่จะยิ้ม…

ธิดามนต์ พิมพาชัย