
แม่คลอดผมออกมาเดือนตุลาคม ซึ่งอยู่ในช่วง “เย็นลมหนาว ลมพัดข้าวเอนไหว” พี่ชายอีก 3 คน กำลังรอลุ้นด้วยหัวใจจดจ่อ… อยากได้น้องสาว… อุแว้ อุแว้ อุแว้… 555+ ชายอีกแล้วครับผม
พ่อผมนั่งเหงา ด้วยความผิดหวัง…มั้ง ที่พ่อตั้งใจอยากมีลูกสาวไว้เชยชมสักคน เพราะทะโมนที่เกิดมาก่อนหน้าก็ลูกชายสุดสวาทกันทั้งนั้น เอาเป็นว่า 4 คน ชายล้วน ๆ แต่ไอ้เจ้าคนที่ออกมาดูโลกคนใหม่นี่ ทำไมมันถึงได้ดำจังเลย ด๊ำดำ ประมาณนั้นแหละ คิดดูสิว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ผมไม่สบาย ไม่สามารถให้นมลูกได้ เอาไปฝากกับเพื่อนแม่ซึ่งคลอดลูกในช่วงไล่เรี่ยกัน เพื่อให้ช่วยป้อนนมแทนให้ด้วย แกยังไม่เต็มใจจะให้ผมกินนมของแกเลย แหมมันช่างดำน่าเกลียดอะไรปานนั้น… บักมืดเอ๊ย 555+
ผมเติบโตขึ้นมาด้วยความฟูมฟักของครอบครัวใหญ่ มียาย พ่อ แม่ น้าสาวอีกหลายคน รวมทั้งพี่ชายอีก 3 พระหน่อ สำหรับเด็กช่างพูด นาน ๆ เข้า ไอ้เจ้าความด๊ำดำก็ไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป พ่อผมบอกว่า ตอนเกิดใหม่กลัวผมพูดช้า แกเลยเอากบมาตีปากผม แล้ววันนั้นพ่อไปหากบได้มาหลายตัว ก็เลยจับทุกตัวมาตีพร้อม ๆ กันซะเลย นี่คงเป็นอานิสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ผมพอจะพูดคุยได้แบบน้ำไหลไฟสว่าง 555+
ยายผมเปิดซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมีอยู่ร้านเดียวนั่นแหละ ขายสารพัดชนิด เท่าที่จะหามาขายได้ เจ้าประคุณเอ๊ย! กว่าจะเอาของมาขายนี่นะ นั่งรถสองแถวบุโรทั่งจากตลาด เข้ามาประมาณ 4 กม. แล้วต้องหาบของเดินตัดทุ่งนาอีกประมาณ 2 กม. กว่าๆ เพราะที่บ้านผมไม่มีถนนหรอกครับ เมื่อปีนั้นยังเป็นดงช้างป่าเสืออยู่เลย น้ำแข็งเราไม่เคยรู้จัก เพราะหากหาบเข้ามาก็คงละลายหมดพอดี
พ่อผมมีควายอยู่ 10 กว่าตัว ไว้ให้ชาวบ้านเช่าทำนา พอได้ค่าเช่าเป็นข้าวไว้หุงกิน ที่บ้านผมไม่มีที่นาครับ พ่อก็เป็นครูประชาบาลจน ๆ เงินเดือน 480 บาทถ้วน สมัยนั้นยังขี่ม้าไปสอนหนังสืออยู่เลยนะครับ
พี่ชายไปเรียนหนังสือชั้นประถม ผมก็ติดไปด้วย ได้หัดเรียนเขียนอ่านตั้งแต่ยังเล็กนั่นแหละครับ พ่อซื้อกระดานชนวนให้ 1 แผ่น แหมมันดูโก้เก๋ไม่หยอกเชียวนะ เวลาเขียนผิด ครูก็จะให้เอาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ ลบออก แต่ทะโมนตัวด๊ำดำ ไม่ทำหรอกครับ เชย”อย่างผมต้องถ่มน้ำลายปริ๊ด เอามือถูๆ แฮะ แฮะ เรียบร้อย
บ้านเราเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ ใต้ถุนสูง มีนอกชานกว้าง เวลากินข้าวเย็นเราก็จะมารวมกันเป็นวงใหญ่ กินไปพูดคุยกันไป ส่วนมากก็ผมนี่แหละครับ ตัวพูดมากประจำวง แต่ไม่มีใครว่าครับ เพราะตอนนั้นถือว่า เป็นลูกหล้า (ลูกคนเล็ก) เวลาแกงปลาที่มีไข่ หรือพุงปลา ก็เสร็จผมละครับ แม่จะเก็บไว้ให้ เวลาพี่ ๆ จะกินมั่งแม่ก็จะบอกว่า “เอาให้น้องเถอะลูก น้องยังเล็ก”
แสงสว่างภายในบ้านโดยมากก็จะเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าด แต่เวลาเราอยู่พร้อมหน้า พ่อจะจุดตะเกียงเจ้าพายุ สว่างไสวมาก ในสมัยนั้นนะ กรรมวิธีการจุดก็ไม่ยาก มันจะมีท่อสูบลมเล็ก ๆ เราก็อัดลมเข้าไปให้เต็ม แล้วภายในโป๊ะจะมีถ้วยเล็ก ๆ ไว้ใส่แอลกอฮอล์ เพื่อจุดเป็นไฟล่อ พอลมเต็มเราก็จะจุดไฟล่อ แล้วปล่อยลมให้ดันน้ำมันมาเบาๆ จนสว่างโร่ไปทั่ว ผมยังจำได้ดี เราใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน เค้ามีมอตโต้เด็ด ๆ ที่ผมยังจำไม่ลืมคือ “ไส้ตะเกียงเจ้าพายุโคลท์แมน ส่องแสงแทนสุริยาในราตรี” โอ้โห!! สุดยอดการใช้ภาษาไทยเลยนะเนี่ย จำได้สนิทเลยชอบมาก
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะนั่งฟังนิยายทางวิทยุกัน ซึ่งช่วงนั้นมีคณะละครที่ฮิต ๆ ก็ กันตนา, นีลิกานนท์ (ขออภัยหากสะกดผิด), เกษทิพย์… ซึ่งเป็นคลื่น AM ทิดโสชอบมากอยู่เรื่องหนึ่งแบบฝังใจเลยนะ ฟังไปก็อินตามไปด้วย น้ำตาไหลเวลาเศร้า สงสารนางเอกน่ะ เรื่องจันทน์กะพ้อร่วง โอ้โห!! ชอบมาก โดยเฉพาะเพลงประกอบละครนะ ชื่อเดียวกับเรื่องขับร้องโดย อาจารย์มัณฑนา โมรากุล พอได้เวลาก็ “ดอกจันทน์กะพ้อร่วงพรู เจ้าไม่ใช่ร่วงสู่ แผ่นดินแห่งไหนโดยง่าย ลมพาเอากลีบกระจาย ร่วงปลิวพราวพลิ้วพราย ไม่มีที่หมายใด….” ยังประทับใจมาจนถึงทุกวันนี้
ทิดโส โม้ระเบิด
ขอบคุณค่ะ ..อ่านเพลินดี เขียนดีค่ะพี่ทิด ชอบ

พี่ทิดโส เขียนเรื่องเก่งอ่ะ แล้วมีตอนต่อไปหรือเปล่าเอย
กะลาจะได้ติดตามผลงานของพี่ทิดโสอีกไงค่ะ ขอบคุณค่ะ
อ่านเพลินค่ะ…

คิดถึงสมัยเด็ก ๆ มดก็อยู่ในสังคมชนบทแบบอ้ายทิดโสนี่หล่ะจ้า…..
แต่ ไอ้เอากบตีปากนี่ มันช่วยให้พูดเก่งจริงรึป่าว เย็นนี้มดจะได้ทำบ้าง
ม่วนแถ่ะละหือ อ้ายทิดโส เอาอีก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

เว็บนี้หลงเข้ามาพ้อจั่งได๋บุนี่ แต่ว่ามีสาระดีมาก มักเกี่ยวกับผญาแม่ะ คักขนาดเลยอ้าย
เขียนได้ดีมาก ๆ อ่ะครับ อ่านเพลินไม่เบิ่อเลยครับ

น่าจะมีภาพบ้านนอกมาก ๆ จะดีมากเลย
บ่ะ…คักขนาดเด้อ
สุดยอด