ผมนัดกับใบตองไว้ที่บ้านบางจากในเย็นวันหนึ่ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สมาชิกพี่น้องใน “เว็บบ้านเพลงประชาชน” จะได้เจอกัน ผมทำอาหาร 4-5 อย่าง อาหารสไตล์ฮกเกี้ยน เพื่อเป็นกับแกล้มในเย็นวันนี้
เสียงใบตองพูดคุยทางโทรศัพท์กับคนอีกคนหนึ่ง แล้วส่งสายมาให้ผม…
“สวัสดีครับ โทษครับ ผมกำลังเรียนสายกับใครครับนั่น”
“สวัสดีครับน้าโส ผม ตุ๋ย ชมรม ครับ”
ผมกับใบตองมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย เราสองคนมาเจอกัน แล้วยังมีเพื่อนใหม่อีกคน ที่เคยฝากข้อความผ่านกระทู้ แต่วันนี้ อีกไม่นานเราจะได้พบปะเสวนากันแล้ว จากการพูดคุยทางโทรศัพท์ ขณะนั้น “ตุ๋ย ชมรม” ยังอยู่ที่ชลบุรี กำลังขับรถกลับมากรุงเทพ อีกไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมงคงถึง เราดื่มกินกันไปเรื่อย เวลาก็เคลื่อนผ่านไปตามวัฏจักร ไม่นานเกินรอนัก เสียงโทรศัพท์ของใบตองก็กรีดเสียงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เธอมองที่หน้าจอและส่งต่อมาให้ผม
“น้า ผมต้องขอโทษด้วยครับ สงสัยวันนี้จะไปไม่ได้แล้ว”
“อ้าว!! ทำไมล่ะน้า นี่ผมกินรอกันอยู่นะเนี่ย มาดิ”
“รถผมเสียครับ ขอไว้โอกาสหน้า แล้วจะไปแน่นอน ขอโทษจริง ๆ ครับ”
ก็ฟาวล์ไปสำหรับการนัดพบกันครั้งแรก ไม่เสียใจครับ ดีใจซะอีกที่อย่างน้อย ตอนนี้ที่เครื่องโทรศัพท์ของผม ได้บันทึกชื่อเพื่อนใหม่ ตุ๋ย ชมรม เข้ามาอีกคนแล้ว
บ่ายแก่ ๆ ของวันที่เท่าไหร่ก็ลืมจำ แต่ทราบว่าวันนั้น เป็นวันเปิดร้าน บ้านเพลงประชาชน เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้น ในท่ามกลางความอึกทึกของเสียงข้างเคียง เหลือบมองหน้าจอแล้วก็ต้องยิ้มแก้มปริอยู่คนเดียว ตุ๋ย ชมรม
“น้าอยู่ไหนครับ”
“บางจากครับ กำลังนั่งจิบเบียร์อยู่ที่บ้าน เข้ามามั้ยล่ะ เดี๋ยวผมจะไปร้านน้าอ๊อดหน่อย”
“พอดีเลย ผมก็จะไปที่ร้านเช่นกัน บ้านผมอยู่ซอยถัดจากน้านี่เอง เดี๋ยวอีก 20 นาทีผมไปรับนะครับ”
“อ้อ เหรอ ดีครับ เดี๋ยวมานั่งหวดเบียร์กันซะก่อน แล้วค่อยไปดีกว่า เดี๋ยวผมเตรียมไว้รอ”
“ได้ครับ….น้า…ผมอยากบอกว่า จะว่าอะไรมั้ย คือ….ผมมีแขนขวาข้างเดียวนะครับ”
“ครับเข้าใจ หากน้ามีแขนขวาสองข้าง ผมก็ไม่คบแล้ว 555 คนบ้าอะไรจะมีแขนขวาสองข้างเนอะ”
“จริง ๆ ครับ เดี๋ยวเจอกันแล้วจะเข้าใจ รอผมแป๊บนะ”
ตุ๋ยวางหูไปแล้ว ผมนั่งขบคิด พร้อมจิบเบียร์แก้กลุ้ม มาไม้ไหนวะเนี่ย เล่นมุขแขนขวาข้างเดียว…
ไม่เกินครึ่งชั่วโมง รถเก๋งคันหนึ่งก็ขับมาจอดหน้าปากซอยบ้านผม กระจกถูกไขลง ชายหน้าตาดี อายุรุ่นราวคราวเดียวกันโผล่หน้าออกมา พร้อมยกมือไหว้และผมรับไหว้ พระเจ้า!!!! ตุ๋ย ชมรม มีแขนขวาข้างเดียวอย่างที่บอกจริง ๆ แขนซ้ายเลยข้อมือขึ้นไปขาดเหนือข้อ ผมพูดอะไรไม่ออกเลย นึกว่าพูดเล่นนี่นา 555
เราโอภาปราศรัย พร้อมกับกระดกเบียร์ลงลำคอไปเรื่อย ๆ ด้วยความคุ้นเคยประหนึ่งเพื่อนเก่ามาเยี่ยมยามกัน จนเบียร์สิงห์หมดลัง และม่านสีดำก็เริ่มปกคลุมฟ้า เราสองก็โลดแล่นไปบนทางด่วนแล้ว โดยมีตุ๋ยเป็นผู้ขับ ผมเพ่งมองด้วยความทึ่ง มือขวาควงพวงมาลัย ละมือขวามาเปลี่ยนเกียร์ มือขวาเปิดเพลง ทุกอย่าง ตุ๋ยใช้มือขวาทั้งสิ้น ผมนั่งรถไปและแอบภาวนาให้พระช่วยอยู่ในใจ
มันเป็นค่ำที่รถติดมหาวินาศมาก เบียร์ที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้น เริ่มทำปฏิกิริยากับกระเพาะเยี่ยว เรามองหน้ากันยิ้มเบา ๆ (หากหัวเราะก็คงได้กางเกงเปียกกันมั่งแหละ)
“น้าไหวมั้ยครับ”
“อื้อ ยังพอทนได้”
ผมมองรถที่ติดเป็นแถวยาวด้วยใจสงบนิ่ง คิดเพียงว่า เราติดอยู่เพียงคันหน้าคันเดียวเท่านั้น หากคันหน้าไปได้ รถเราก็เคลื่อนได้เช่นกัน ผมเริ่มนั่งตัวแข็งทื่อ ท้องก็แข็งทื่อ
“น้า หากไม่ไหว ก็เล่นในถังขยะที่เบาะหลังเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ ผมยังไหว”
“เอางั้นเหรอ ไม่ว่ากันนะ”
หากใครที่รถติดอยู่แถวนั้นในช่วงนั้น หากเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง ลุกจากเบาะหน้ามาเบาะหลัง แล้วทำหลังคุ่ม ๆ อย่าคิดว่ามีเหตุผิดปกติอันใดนะครับ ผมกำลัง “ปลดทุกข์” จริง ๆ เนื่องจากถังขยะบนรถตุ๋ย ขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ปริมาณที่จะไปอาศัยในถังนั้นมันมหาศาล ดังนั้น เราจึงต้องแง้มประตูเพื่อถ่ายเทของเหลว ลงสู่พื้นทางด่วน และนำมาเติมปริมาณอีกครั้ง…และอีกครั้ง….
เกือบ 2 ชั่วโมงที่เราทรมาณกันอยู่บนนั้น ตุ๋ยก็พาผมมาถึงร้าน “บ้านเพลงประชาชน” พอจอดรถได้ เราสองไม่รอช้า กรูกันไปยืนชมวิวตรงชายป่าด้านที่จอดรถนั่นเอง เราปลดปล่อยซะหมดแม็กเลย ผมเดินเคียงคู่ตุ๋ยเข้าไปในร้าน โดยตุ๋ยมีของติดมือมาฝาก พี่อ๊อด จักรกฤษ เป็นปกเทป “อีสานเขียว” ขนาดใหญ่ใส่กรอบไม้อย่างสวยงาม
ใบตองพาเราทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะยาว ซึ่งจัดไว้ใหญ่ที่สุดในร้าน สักครู่พี่น้องหน้าใหม่ที่คุ้นชื่อก็ทยอยกันมา อยากบอกทุกท่านเพียงว่า เราทั้งหมดไม่ทราบเลยว่า นักดนตรีเล่นเพลงอะไร ไพเราะหรือไม่ เพราะโต๊ะใหญ่ยาว ไม่มีใครสนใจเสียงดนตรีเสียแล้ว เราจับคู่ สลับคู่ รวมถึงรวบคู่ พูดคุยกันประหนึ่งเพื่อนสนิทที่จากกันไปนาน บรรยากาศอบอวลด้วยมิตรภาพ ที่สำคัญไม่เคยมีใครเอ่ยถึงความพิการที่ตุ๋ยมี ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่หรือมิตรภาพผ่านจอคอมพิวเตอร์ นี่หรือสิ่งที่เป็นข่าวอยู่เนือง ๆ ที่คนใช้คอมพิวเตอร์มาหลอกลวงกัน แต่ที่เห็น เรามีมิตรภาพที่มอบให้และรับจากกันด้วยหัวใจเป็นสุข กว่าจะแยกย้ายด้วยความเสน่หากันและกัน เวลาก็ล่วงเลยมาเกินตีหนึ่งแล้ว
ในรถของตุ๋ย มีตุ๋ยเป็นผู้ขับ ผมนอนอยู่เบาะหลัง ส่วนด้านหน้าคู่คนขับมีใบตองนั่งไปเป็นเพื่อน ผมหลับสนิทด้วยความเมา และไว้ใจให้คนมือขวาข้างเดียวขับ 555 (เอ!! หรือผมเอาเปรียบเพื่อนเนี่ย ไม่รู้ งง.. เมา.. 555)
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา ขยี้ตาไป 21 ครั้ง
“ที่ไหนหว่า เฮ้ย! พามาที่ไหนเนี่ย”
“พามาร้องเพลงต่อไงน้า แถวบ้านเรานี่แหละ ไป ขึ้นไปข้างบนกัน”
ตุ๋ยพาเรามาร้านคาราโอเกะ หัวมุมสุขุมวิท 101/1 เราขึ้นไปชั้นสอง สักครู่มีสาว ๆ เข้ามา 3 คน แบ่งนั่งคู่กับเราทั้งสามคนเช่นกัน เสียงอินโทรเพลง คาราบาว กระหึ่มขึ้นมา ตุ๋ยคว้าไมค์ร้องด้วยความเมามันส์ ส่วนผมเอ้อ ขออภัย “น้องจ๋า ขอข้าวต้มกุ้งร้อน ๆ สักชามเถอะ”
บอกกันตรง ๆ ว่าคืนนั้นผมแทบไม่ได้ร้องเพลงร่วมกับตุ๋ยเลย พอซดข้าวต้มหมดชามก็ม่อยกระรอกต่อ ปล่อยให้ใบตองและตุ๋ย ทำหน้าที่บรรเลงขับกล่อม สงสารก็แต่น้องผู้หญิงที่มานั่งข้างๆ ผม (เอ! สงสารหรือเสียดายเนี่ย 555) ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยอ่ะ ผมเมาจริง ๆ ครับ
คืนนั้นเราสามคนต่างแยกย้ายกันกลับ บ้านใครบ้านมัน ผมนั่งแท็กซี่กลับบ้านซึ่งไม่ไกลมากนัก แม้จะเมาเพียงใด แต่หัวใจของผมในคืนนี้ช่างสดชื่นยิ่งนัก…อา!! มิตรภาพจากเพื่อนใหม่…
ขอใช้ตอนนี้เป็นตอนแรก รำลึกถึงบทเริ่มที่เราได้รู้จักกันเพียงนี้ก่อนนะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป…รับรอง มีครบทุกรสแน่นอน ขอรับประกัน
บางท่านอาจมีข้อสงสัย “เขียนรำลึกถึง ตุ๋ย ชมรมแท้ ๆ เหตุใดจึงเป็นชมร” ตรงนี้ ขออุบไว้ก่อนครับ เพราะยังไม่ถึงเวลา ตอนหน้า จะมาเปิดเผยตัวตนแน่นอน ไปละ อิอิอิ
ทิดโส โม้ระเบิด
คิดถึง พี่ตุ๋ย เหมือนกัน สำหรับผมเจอกับพี่ตุ๋ย ครั้งเเรก ก็ที่บ้านบางจาก ที่บ้านของทิดโส ดื่มเบื่อ สนธนากัน 3 คน พี่ทิด พี่ตุ๋ย เเละก็ผม เป็นครั้งเเรก ที่มิตรภาพของผมกับพี่ตุ๋ย เริ่มงอกงาม…
แทนความรู้สึกทั้งหมดที่มี
ขอบคุณนะคะพี่ทิด เขียนได้ดีมาก ๆ เลยค่ะ จะคอยติดตามตอนต่อไป…