Photo by Matt Cole

เราไปออกค่ายเยาวชนกันที่เขาชะเมา ในพื้นที่รีสอร์ทของอาจารย์จรรย์ดม (หากเขียนผิดก็ขออภัยนะครับ) ในนามของ “ค่ายเยาวชนเด็กดั่งดวงดาว” โดยการสนับสนุนทุนจาก สสส.

น้อง ๆ จากชุมชนท้ายบ้าน จังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 40 คนทั้งชายและหญิง อายุตั้งแต่ 6-16 ปี แต่ละคนก็ต่างบุคลิก สิ่งที่คล้าย ๆ กันก็คือเป็นกลุ่มเด็กที่ค่อนข้างมีปัญหา ทั้งจากชุมชนและครอบครัวของเด็กเอง การเล่น หยอกล้อ เต็มไปด้วยความรุนแรงทั้งชายและหญิง สร้างความหนักใจให้เหล่าพี่เลี้ยงประจำกลุ่มยิ่งนัก

วันแรก… ทุกอย่างลื่นไหลไปตามครรลองแห่งความเป็นจริง มีกิจกรรมตามฐานต่าง ๆ ในขณะที่ทำกิจกรรมก็มีการหยอกเย้ากระเซ้าแหย่กันตลอด เขกหัวกันบ้าง ถีบกันบ้าง บางครั้งก็ด่าว่ากัน พี่เลี้ยงก็ต้องคอยป้องปรามกันชุลมุนวุ่นวาย แต่ก็ผ่านไปด้วยดี

เย็นวันแรก… หลังจากผ่านกิจกรรมเติมพลังลงกระเพาะเรียบร้อย ก็มีการประชุม ร่วมร้องเพลง ทำกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ การจับกลุ่มยังต้องมีเช่นเดิม แต่เริ่มสังเกตได้ว่า หากเริ่มมีการทะเลาะหรือกระทำต่อกันด้วยความรุนแรง จะมีเด็กที่โตกว่าคอยปรามไว้บ้าง และผมก็เห็นเป็นครั้งแรกว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนพร้อมใจร่วมมือกันก็คือ การร้องเพลงในค่าย

เฒ่าโอ๋ รับหน้าที่บรรเลงกีต้าร์และคอยทำหน้าดุเหล่าทะโมน เด็ก ๆ ก็ตั้งใจร่วมร้อง และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผมคิดว่า…ได้ฟังเพลงที่ไพเราะที่สุด

“เมื่อดาวหนึ่งดวง ร่วงลงจากฟ้า
จะมีดวงตาเกิดขึ้นมาบนโลกนี้แทน
เป็นเด็กผู้หญิง เป็นเด็กผู้ชาย
ส่องแววประกาย เด็กมีความหมายเช่นดาว”

เออ! เข้าท่าแฮะ “กลุ่มเยาวชนเด็กดั่งดวงดาว” กำลังร้องเพลงในชื่อเดียวกัน ดูทุกคนตั้งอกตั้งใจร้องช่วยกันดีมาก หรือว่า ……

อีกวันหนึ่งผ่านไป เราเริ่มสังเกตเห็นได้ว่า เด็กเริ่มผสมผสานไปกับเราไปแนบชิดขึ้น กล้าพูดกล้าคุย บางคนขอนั่งตัก บางคนขอให้อุ้ม หรือว่า …

เราประชุมกันค่อนข้างดึกดื่น มีการสรุปงานในช่วงวันที่ผ่านไป อะไรที่ทำดีแล้ว อะไรที่ต้องแก้ไข สิ่งหนึ่งที่เราเห็นตรงกันคือ พัฒนาการของเด็ก ช่วงระยะเวลาเพียง 2 คืนที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เราได้ทราบปัญหาที่เกิดกับเด็กกลุ่มนี้มากมาย ทั้งปัญหายาเสพติด ปัญหาครอบครัว เด็กขาดความอบอุ่น ไร้ที่พึ่ง ขาดโอกาสทางการศึกษา อนาคตที่ยังไม่กล้าวาดหวังถึง ฯลฯ

ตกใจนะครับ ในพื้นที่รอยต่อที่ห่างจากคำว่าเมืองหลวงเพียงนั่งรถเมล์ถึง แต่เด็กและเยาวชนของชาติต้องมีชีวิตในแบบนี้ ชีวิตที่ไม่กล้าฝันไกลเกินกว่าวันนี้ คำว่า “พรุ่งนี้” ดูจะเป็นการอาจเอื้อมเกินไป ผมเริ่มเข้าใจแล้ว ทำไมเวลาเด็ก ๆ ร่วมกันร้องเพลงนี้จึงดูแล้วมีความสุขกันมาก เป็นความสุขในแบบฉบับของเขาเอง ดวงตาที่มองสบกัน มีรอยยิ้มน้อย ๆ เท่านั้น นี่หมายถึงเด็ก ๆ ของเราขาดโอกาสที่จะกล้ายิ้มให้กว้างขึ้นกระนั้นหรือ?

ผมไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้นกับชุมชนนี้และคงมีอีกมากมายหลายชุมชนที่เฝ้ารอมือจากผู้เกี่ยวข้องจะยื่นเข้าไปช่วยเหลือ ร่วมปรับปรุงแก้ไขให้ทุกคนมีโอกาสที่ดีขึ้น เพื่ออนาคตของเด็ก ๆ ที่จะเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป ไม่รู้ว่าเราจะคาดหวังสูงเกินไปหรือเปล่า?

“พวกเราจะโต ไม่นานหรอกหนา
เราจะอาสา เติบโตมาดูแลโลกแทน
ปกป้องป่าไม้ ภูเขาแม่น้ำ
ไม่มีสงคราม หากทำตามความฝันของเด็ก (พวกเรา)”

นี่เองคือคำตอบ คำร้องในท่อนนี้ทำให้เหล่าเด็ก ๆ เปล่งเสียงร้องอย่างเต็มเสียง ทุกคนมีความฝัน ทุกคนเริ่มกล้าหวังว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่จะร่วมดูแลโลก เป็นการประกาศความมีตัวตนของคนเล็ก ๆ ในชุมชนคนหนึ่ง ที่ก่อนหน้านั้น มีชีวิตที่เหมือนคนไร้ตัวตนมาตลอด

“เมื่อมีพรุ่งนี้ ย่อมมีความหวัง
เด็กมีพลัง เป็นความหวังแห่งวัน
อย่าทำลายฝัน อย่าปิดกั้นไฟ
เด็กมีหัวใจ ผู้ใหญ่ช่วยระวัง”

นี่คือคำตอบทั้งหมดที่ผมเคยคาใจ จากเด็กที่เคยสิ้นไร้ความหวังใด ๆ แต่เมื่อผ่านกิจกรรมในการอยู่ร่วมกันมาในช่วงเวลาหนึ่ง เด็กมีการใช้ความคิดที่มีระบบมากขึ้น กล้าคิดกล้าพูดและเริ่มกล้าที่จะหวัง ในสิ่งที่เป็นไปได้ในชีวิตของตัวเอง

ไม่ได้คาดหวังมากมายหรอก เพียงแต่อยากให้การร่วมค่ายในครั้งนี้ เป็นเพียงไม้ขีดก้านเล็ก ๆ ที่เป็นแสงแรกแห่งความหวังในชีวิตที่ดีกว่าของเด็ก ๆ ในชุมชน เป็นกรณีตัวอย่างที่จะทำให้เกิดการพัฒนาในชุมชนอื่น ๆ ปัจจุบัน หน่อเนื้อที่ก่อเกิดจากค่ายในครั้งนั้นได้แตกกอต่อยอด จนสามารถสร้างผู้นำเยาวชนประจำชุมชน ที่มีคุณภาพ สานต่อเจตนารมณ์ที่ดีต่อไป

ทิดโส โม้ระเบิด
*ปล. เพลง “เด็กดั่งดวงดาว” ศุ บุญเลี้ยง แต่งตามคำร้องขอของมูลนิธิที่ทำงานด้านเด็กแห่งหนึ่ง (พี่จุ้ย จำไม่ได้ว่าชื่อมูลนิธิอะไร)