“วิเศษ” หนุ่มน้อยวัย 17 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นผู้ที่มีปมด้อยไม่กล้าสู้คน อ่อนแอ ขี้อาย ไม่เข้มแข็งเหมือนดั่งเช่นชื่อตัวเองเลย แต่เป็นคนมีจิตใจดี โอบอ้อมอารี จริง ๆ แล้ววิเศษก็ไม่ได้มีรูปร่างเล็กไปกว่าคนอื่นเลยซะทีเดียว
วิเศษมีพื้นเพดั้งเดิมเป็นคนอีสาน ย้ายตามครอบครัวมาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ 3 ปีกว่าแล้ว วิเศษเป็นคนที่เงียบเสมอเวลาอยู่ในโรงเรียน เขาจึงมีเพื่อนน้อย และมักจะโดนรังแกจากขาโจ๋ประจำชั้นเสมอ ๆ แทบจะทุกวันเลยก็ว่าได้
วิเศษชอบผู้หญิงคนหนึ่งตามประสาชายหนุ่ม เธอเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่อยู่คนละห้อง เขาคงจะมีความสุขอยู่หรอกนะกับการได้รักข้างเดียวตลอด 3 ปี ใช่แล้ว..เขาเป็นโรคขี้อายอย่างรุนแรง จนยากจะเกินเยียวยาด้วยซ้ำ มันเป็นความรักที่ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันเลย
และวันนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกวัน เขาโดนแกล้งก่อนที่จะกลับถึงบ้านอีกแล้ว เขาเดินเข้าบ้านอย่างกับคนที่ไปโดนฝูงสุนัขไล่ฟัดมาซะอย่างนั้น
วิเศษเดินไปเปิดทีวีและนั่งลงที่โต๊ะอาหารเหมือนกับทุก ๆ วันที่เขากลับถึงบ้านด้วยอาการแบบเซ็ง ๆ บนโต๊ะอาหารมีสำรับข้าวอยู่หนึ่งสำรับในฝาชีที่ครอบไว้ ข้าง ๆ กันนั้นมีกระติ๊บข้าวเหนียวอยู่อีกหนึ่ง
กระติ๊บตามวิถีการรับประทานอาหารของชาวอีสาน
เขานั่งกุมขมับพร้อมกับบ่นพึมพรำคนเดียวว่า “ใครก็ได้ ช่วยผมทีเถอะ ผมไม่อยากโดนรังแกอย่างนี้อีกแล้ว”
ทันใดนั้นกระติ๊บที่วางอยู่บนโต๊ะก็มีควันค่อย ๆ ไหลออกมา เยอะขึ้น ๆ ๆ เรื่อย ๆ ทำให้วิเศษรู้สึกฉงนเป็นอย่างมาก เขาเอื้อมมือไปเปิดฝาออก ควันก็โขมงออกมา หลังม่านควันปรากฏเป็นร่างชายกำยำ ตัวใหญ่ ซึ่งสังเกตได้จากเงาที่พาดผ่านบนกำแพง แล้วควันก็ค่อย ๆ จางลง ๆ ๆ ๆ ๆ จนเห็นร่างนั้นได้ชัดเจน พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ตามมาอย่างน่าเกรงขาม
“ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า”
แต่เอ๊ะ… ทำไมร่างนั้นตัวเล็กยังกับเด็ก 6-7 ขวบงั้นแหละ กุมารทองก็ไม่ใช่ มีเขี้ยวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ โผล่มาสองเขี้ยว ยืนท้าวเอวอยู่บนโต๊ะอาหาร เรียกได้ว่าเป็นยักษ์แคระได้เลย
และมันก็พูดว่า “ข้านี่แหละที่จะเป็นคนมาช่วยเจ้า เมื่อเจ้าบรรลุสิ่งเหล่านั้นแล้ว ข้าก็จะไป เพราะข้าก็บรรลุสิ่งที่ข้าต้องการเหมือนกัน นั่นคือการได้ช่วยคนดีอย่างเจ้า แต่มีข้อแม้ว่าข้าจะใช้พลังวิเศษช่วยได้แต่เจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
วิเศษจึงตกลงกับยักษ์แคระตนนั้นไม่ให้เปิดเผยรูปร่างตัวจริงแบบนี้ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กตัวเล็ก ๆ คนนึง
มันเป็นยักษ์ที่มีเชื้ออีสานเต็มตัว เมื่อได้ออกไปเผชิญโลกภายนอกอย่างเมืองกรุงเป็นครั้งแรกด้วยแล้ว เรื่องเปิ่น ๆ ฮา ๆ จึงเกิดขึ้น เช่น การเห็นบันไดเลื่อนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของมัน การเห็นรถไฟฟ้าเป็นกิ้งกือยักษ์ ฯลฯ
วิเศษได้ขอให้เจ้ายักษ์ช่วยกำจัดความขี้อายออกจากตัวเขา และทำให้เขากล้าพูดกับคนที่เขารัก จากนั้นวิเศษก็กล้าที่จะเดินไปคุยกับผู้หญิงที่เขาไม่เคยคุยด้วยมาสามปี
ในระหว่างที่เขาจะเดินเข้าไปคุยนั้น ก็มีเด็กผู้หญิงคนนึงมาขอให้เขาช่วยเอาลูกโป่งที่ติดอยู่บนต้นไม้ให้ เขาก็ช่วยด้วยความโอบอ้อมอารี
หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปคุยกับคนที่เขารักเป็นผลสำเร็จ ขากลับวิเศษก็เจอกลุ่มขาโจ๋ประจำชั้น 3 คนที่ชอบกลั่นแกล้งประจำ เขาโดนรุมแกล้ง ขณะนั้นเองเขาก็ร้องให้เจ้ายักษ์ช่วย วิเศษเปลี่ยนเป็นคนละคนที่ไม่ใช่วิเศษคนเดิม กล้าสู้คน ไม่กลัวอีกแล้ว จนพวกขาโจ๋ทั้ง 3 คนเตลิดหนีไป ไม่มาตอแยอีกเลย
เขากลับมาที่บ้านด้วยความยินดีปรีดา ที่ต่อจากไปนี้จะไม่ใช่คนขี้ขลาดอีกต่อไปแล้ว เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้ว
วิเศษกลับมานั่งที่เดิม เจ้ายักษ์ก็มายืนบนโต๊ะ แล้วพูดว่า “เจ้าได้บรรลุสิ่งที่เจ้าปรารถนาแล้ว คงต้องหมดหน้าที่ของข้า ข้าต้องไปแล้ว และขอให้เจ้าโชคดี ข้าคงไม่ได้พบเจ้าอีก”
วิเศษพยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้เจ้ายักษ์ไป แต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้ายักษ์หายไปในกระติ๊บเหมือนเดิม
วิเศษมองกระติ๊บแล้วยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินไปปิดทีวีซึ่งเป็นหนังเรื่อง “อาละดินกับยักษ์ในตะเกียงวิเศษ”
ความจริงแล้ว เรื่องทั้งหมดเขาคิดไปเอง
วันรุ่งขึ้นเขารวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นเป็นครั้งแรก ขณะที่กำลังเดินไปก็มีเด็กผู้หญิงมาขอให้ช่วยเอาลูกโป่งลงจากต้นไม้ ซึ่งเหตุการณ์ตรงกันกับตอนที่เขาคิดว่ามีเจ้ายักษ์ช่วยไม่มีผิด
เขายิ้ม และเขาก็รู้ว่าเขาควรจะเข้าไปพูดยังไง ต่อจากนั้นเขาก็มาเจอขาโจ๋ทั้ง 3 อย่างที่คิดไว้ เขาเอะใจเล็กน้อยกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะยิ้มเล็กน้อย แล้วเขาก็รู้ว่าเขาควรจะกล้าสู้ยังไง…..
หนึ่ง น้ำโขง
*แนวคิด (concept) : ต้องการทำหนังแนวตลก แทรกแนวคิดไปด้วย ในตัวเรื่อง วิเศษเองนั้นเป็นคนขี้ขลาด จึงสร้างตัวละครเพื่อจะมาคอยช่วยเหลือ นั่นก็คือเจ้ายักษ์ แต่เรื่องที่เกิดทั้งหมดนั้นเป็นเพียงจินตนาการของวิเศษเอง สะท้อนให้เห็นว่า ความกลัวกับความกล้าเกิดขึ้นได้ที่ตัวเราเอง สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครมาช่วยเราได้นอกจากตัวเรา