Photo by Nest Kokanest

ชายสองคนต่างวัย
ออกเดินทางไกลหาฝัน

กลางคืนใต้ฟ้าใต้จันทร์
บรรเลงเพลงฝันบันดาลใจ

โบกรถรายทาง
ใต้ดาวพราวพร่างสว่างไสว
ออกเดินรอรถล้อถ่อทางไกล
ได้บ้างไม่ได้บ้างอดทน…

โบกรถสัญจร
ตะรอนแรมร้อนร้าวรน
ดาวจรจรัสจ้าจางฝน
จันทร์หม่นดาวดลแจ่ม

รถผ่านโบกพันรถ
หมื่นแสนทางคดใจแซม
ลมโชยบางคืนแอบหอมแก้ม
โอบกายแต้มใจให้หนาวสั่น…

ชายสองคนต่างวัย
มุมมองใหม่ในโลกนั้น

บ้างดีมีสุขทุกข์ปนปัน
บ้างยิ้มพริ้มฝันผันผ่านเพียงสอง

หนึ่งครูอีกหนึ่งศิษย์
ประดิษฐ์ฝันร้อยกรอง
คืนหนึ่งนั้นพลันหมอง
อีกหนึ่งคะนองกับภาพใหม่

ย่ำผ่านบางเมืองสุขสนุก
ลืมทุกข์เข็ญเล่นกันไป
พบบางเมืองยิ่งใหญ่
บางเมืองน่ากลัว

บางมุมโศกเร้าเคร่งเครียด
บางครั้งเกลียดเรื่องหมองมัว
บางครั้งพบชายชั่ว
บางครั้งพบหญิงมั่ว – ชายเลว…

บนหนทางอันยาวไกล ฟ้ากว้าง
ตึกสูงแปลกแตกต่างแหลกเหลว

ดุจไฟโหมฮือรื้อเร็ว
ดั่งเปลวที่หลั่งถั่งโถม

บ้างร้อนรอนร้อนแดด
ถูกแผดถูกเผาโฉม
ผิวกล่ำดำกล้าหน้าโทรม
โหมโรมเข้าฮือฮึดใส่

หว่างเย็นก็เย็นเห็นไอหนาว
รุ่งเช้าดูกล้าใหม่
แย้มอรุณกรุ่นหอมหมอกละไม
เคลื่อนกายเป็นสายคล้ายสำลี…

มีครั้งหนคนบ่นด่า
ไอ้ห่าโง่บ้าสิ้นดี

โบกรถในเมืองนี้
จะมีใครหรือจอดให้

แต่สองเราก็ผ่านพ้น
ไอ้ปากคนนั้นจัญไร
เราผ่านมาได้ตั้งเท่าไหร่
ไอ้คนจัญไรปากหมา

อนิจจากะลาครอบ
อยู่ได้เพียงแค่ในกรอบดอกหนา
เป็นกบไม่เบิกตา
เป็นหมามีพันธนาการ…

เช้านั้นพบชายหนึ่ง
ผู้ซึ่งใจบุญศุนทาน

พาเรากินอาหาร
พาเราไปนั่งคุย

ทานข้าวเที่ยงเหมือนเพลงปลอบ
ข้าวเป็นกระสอบเราไม่คุย
บางบทบาทเราเร่งลุย
ผ่านฉลุยบนเส้นทาง

บางมื้ออดข้าว – เช้า – เที่ยง
ค่ำมื้อเดียวบ่ายเบี่ยงกินน้ำแก้ต่าง
บางวันกินกันตลอดทาง
จากผู้ให้บนทางเดิน…

เช้าหนึ่งพบหญิงสาว
หล่อนผิวขาวจนฉันเขิน

นุ่งน้อยห่มน้อยเหลือเกิน
เธอคุยเพลินเพียงเราสาม

วัยสาวดูนุ่มนวล
ใจก็ชวนให้เผลอถาม
ทำไมกล้ารับเราขอเท้าความ
ทั้งที่เธอนั้นเป็นหญิง

เธอตอบอย่างเร็วพลัน
คนเหมือนกันไม่ใช่ลิง
เธอชอบเดินทางจริง
อยากสักครั้งโบกรถเที่ยวทั่วไทย

เธอยิ้มและเริงร่า
ทอแววตาสว่างจ่างใส
รอยยิ้มดูละไม
แรกผลิใหม่ของหญิงสาว

เธอบอกคิดอยากจะทำบ้าง
ออกเดินทางไปสักคราว
ร้อยฝันเกี่ยวร้อยดาว
ดูทุ่งหญ้าหนาวดอมดมชมกลิ่นดิน

เธอตอบเสียงเรียบเหงา
งานเนืองเนาคอยกัดกิน
เวลาจะโบยบิน
จะเดินทางดูลับเลือน

ลมหนาวพัดจากใต้
พาเราไปดูดวงเดือน

ดอยสูงทะเลเถื่อน
ได้พบเพื่อนแปลกหลากหลาย

ลมร้อนจรพัดผ่าน
ถึงอีสานบ้านสหาย
ดูดอุเริงสบาย
อย่างเมามายนักเดินทาง

ลมผวนชวนข้ามโขง
ดอกลำโพงสีขาวสำอาง
เบ่งบานกลีบผลิแฉกฉาง
ดอกเบิกบานอย่างเชิญชม…

ลมเย็น เย็นสบาย
ให้เราคลายความระบม
บ่าช้ำแบกเป้ปม
ได้พักผ่อนนั่งชมจันทร์

ใต้แสงนีออนสวย
ชายคนรวยชวนสุขสันต์
กินเหล้าดื่มน้ำจันทร์
สื่อสัมพันธ์มั่นคงแห่งศรัทธา

อีกวันได้เยือนถิ่นเกิดแล้ว
ดาวยิ้มพริ้มแซวทอแววอวดค่า

จันทร์ฉายน้อยแสง เมฆหนา
บ้านจ๋าฉันกลับมาถิ่นแนบเนา

ฟ้าเยือนแผ่นดินราบอีสานแห้ง
ฟูกฟางร้างแล้งแกล้งเหงา
น้ำเนือยเรื่อยรินถิ่นเก่า
เห็นฉากเงาฉ่ำเฉาคู่บ้านนา

ข้าเหยียบแผ่นดินเก่าเงาบ้าน
ต้นกรุงยุ่งนานเนดูเหว่ว้า
กรุงไร้ใบดอกผลไร้ชีวา
คล้ายกับฟ้าลงโทษให้โศกศัลย์

ถึงบ้านก้มกราบแทบเท้าแม่
ลูกชายดื้อขี้วอแวของแม่คืนสวรรค์
ขอพรแม่จ๋าเอ่ยรำพัน
แม่ลูบหัวลูกชายฉันหายไปได้กลับคืน

แม่เอ่ยคำพรในตอนหนึ่ง
เป็นไงบ้างแม่คิดถึงจนใจหาย
เห็นได้ข่าวเป็นนักโบกวเนจรกำจาย
เดินทางเรื่อยไปหาอะไรหรือ

แม่ห่วงจนน้ำใสไหลอาบ
เป็นคราบเลอะเกอะแก้มร้างรื้อ
นักเดินทางพเนจรก่อนคือ
เด็กชายแสนดื้อดึงคนหนึ่งของแม่

พูดไปน้ำใสไหลริน
ยินเสียงหัวใจแห่งรักแท้
พ่อเอ่ยวาจาอย่าแพ้
เดินเถิดเดินแลไทยสยาม…

พ่อพูดในตอนท้าย
ยังจำได้ในคำตอบถาม

รักษ์สิ่งใดจงรักษ์และก้าวตาม
ไม่นานความนัยจะปรากฏ

วันจะจำจากเฮือนเรือนชาน
แม่ห่ออาหารหวานสด
ข้าวสวยปิ้งปลากด
น้ำพริกสดแจ่วบองฝาก

เราออกเดินทางในเช้าตรู่
นี่แหล่ะชีวิตนักต่อสู้หลายหลาก
วิ่งเดินเขียนขีดร้อยกรองฝาก
หว่างจำใจจากก็หาไม่

เป็นนักพเนจรวเนจรตะรอนไกล
เป็นนักโบกรถทั่วไทยอยากจะชวน…

ก่อคเณศ รุ้งสันเทียะ
7-9 เมษายน 2549
ระหว่างการเดินทางจาก อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง ถึง สุดเขตสยามที่ จ.นครพนม ใช้ระยะเวลาในการเดินทาง 3 คืน 2 วัน